วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ถาม-ตอบ ปริศนา ของท่านเจ้าคุณอุบาลี

  
 คำแก้ปริศนา ของเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์?สิริจนฺโท)่?
   จะ แก้ปัญหา ๑๒ ข้อของนักปราชญ์เก่าท่านผูกไว้ ท่านคงหวังประโยชน์แก่พวกเราผู้อยู่ภายหลัง แต่ธรรมดาตอบปัญหาคงไม่ตรงกัน เพราะปัญหาเป็นของกลาง ใครตอบอย่างไรก็คงถูกของผู้ตอบ ผู้อ่านผู้ฟังควรจะถือเอาแต่ประโยชน์เท่านั้น
   
๑. กินเท่าไรไม่หายอยาก
   ได้ แก่โลภะ - ความละโมภ คือ ความอยากได้ อยากมี อยากดี อยากสุข หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ถึงจะได้จะมีสักเพียงไร ก็ไม่มีเวลาเพียงพอ สมกับคำว่า "กินเท่าไรไม่หายอยาก"
   
   ๒. นอนมากไม่รู้จักตื่น
   ได้แก่ โมหะ คือ ความหลง หลงรัก หลงชัง หลงดี หลงชั่ว หลงลาภ หลงยศ หลงเขา หลงเรา มัวเมาไปด้วยความหลงไม่มีเวลาสร่าง ไม่มีเวลาตื่นเหมือนกับคนนอนหลับหาเวลาจักกลับตัวจากโมหะไม่ได.้
   ๓. รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว
   เพราะ โมหะนั้นเองเป็นเหตุ ให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัวเอง คือ รักผัว รักเมีย รักลูก รักหลาน รักมิตรสหาย รักเจ้ารักนาย จนถึงยอมเอาตัวของตัวเองลงสู่กรรมอันเป็นบาป เป็นต้น ฆ้าสัตว์ ลักทรัพย์ กล่าวมุสา ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่น มาบำรุงน้ำใจของชนเหล่านั้น ผลของอกุศลที่ตนทำลงนั้น ตนก็จะก้มหน้ารับไปแต่ผู้เดียว อาศัยความรักเขาเป็นเหตุ อาจจักทำกรรมอันเป็นบาปใส่ตัวได้ ทุกประการอย่างนี้.
   ๔. ของควรกลัวกับกล้า
   เพราะ ความรักผู้อื่นนั้นเองเป็นเหตุ กรรมอันเป็นบาปเป็นของควรกลัว แต่กล้าทำได้ทุกประการ มนุษย์มีชาติเสมอกันก็อาจฆ่าได้ สัตว์ทุกจำพวกไม่ว่าตัวใหญ่ตัวเล็ก ตัวมีคุณและหาคุณมิได้ อาจฆ่าได้ทุกประเภท แม้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น อาจลักขโมยเอาได้ทุกประการ อาจกล่างคำเท็จ ฉ้อโกงเขาได้ อาจวินิจฉัยคดีกลับแพ้เป็นชนะ กลับชนะเป็นแพ้ได้ทุกประเภท ขึ้นชื่อว่ากรรมอันเป็นบาปแล้ว ซึ่งจะทำไม่ได้นั้นเป็นอันไม่มีเพราะโมหะนั้นเองเป็นเหตุ.
   ๕. ของสั้นสัญญาว่าของยาว
   ได้แก่ ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตย์เพียง ๖๐ ปี ๗๐ ปี เท่านั้น ต้องนับว่าสั้นนักน้อยนัก ทั้งไม่มีนิมิตเครื่องหมายนายประกัน ว่าจะได้ถึงเพียงนั้นหรือไม่ แต่ความมุ่งหมายนั้นดูเหมือนจะอยู่ไปตั้งร้อยปีพันปีคือความหมายความบากบั่น ประกอบการงาน ทั้งอาการที่หึงหวงในสรรพพัสดุ ทั้งที่มีวิญญาณและหาวิญญาณมิได้ เป็นต้นว่า หวงลูก หวงเมีย หวงเขตบ้าน แดนสวน เขตไร่แดนนา อย่างประหนึ่งว่า เราจะอยู่เป็นเจ้าเข้า เจ้าของไปตั้งหมื่อนปี หารู้ไม่ว่าชีวิตเป็นของมีประมาณน้อยเป็นของสั้น.
   ๖. ปอกมะพร้าวเอาปากกัด
   ได้ ความว่า ธรรมดาปอกมะพร้าวต้องใช้พร้า - ใช้ขวานเพราะเป็นของแก่นของแข็ง ไพร่เอาปากไปกัด ผิดธรรมดาของโลก ตกลงก็คงไม่ได้กินกันเท่านั้น เปรียบเหมือนมรรคผลนิพพาน ธรรมดาของท่านผู้จะสำเร็จ ท่านต้องเอาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรคประหารกิเลส เปรียบเหมือนพร้าขวานสำหรับปอกเปลือกมะพร้าว ส่วนตัวหาเอาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรคเครื่องประหารไม่ ไพร่ไปเอาโวหารเป็นเครื่องประหารกิเลสอวดฝีปากกันว่า ข้าจำได้มาก ข้าฉลาดกว่าเจ้า จะถือเอามรรคผลนิพพานด้วยปากเท่านั้น ตกลงก็คงจะอยู่เท่านั้นเอง เพราะผิดธรรมดา.
   ๗. อุ้มลูกอ่อนกอดรัดไว้ไม่วาง
   ร่างกายนี้เปรียบเหมือนลูกอ่อน เพราะลูกอ่อนย่อมเป็นของอันมารดาและพีเลี้ยงจะต้องประคอง ถนอมเป็นอย่างดีเอื้อเฟื้อไม่มีความประมาท คอยพิทักษ์รักษาทั้งกลางวันละกลางคืนคอยป้อนข้าวอาบน้ำ คอยระวังซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวอยู่เสมอฉันใดแม้อัตตภาพร่างกายนี้ เป็นเจ้าของก็จะต้องระวังรักษาอย่างถนอม ถ้าหิมต้องหาอาหารให้รับประทาน ร้อนอาบน้ำ หนาห่มผ้า จะไปทางใดก็ต้องระวัง เตรียมร่มกันแดดกันฝน และรองเท้าไปด้วย ชั้นผุ้ดีมีสมบัติจะไปทางใดต้องไปด้วยยานต่าง ๆ ถนอมร่างกายจนถึงไม่ต้องเดิน จนเสียกำลังขาเดินไปไหนไม่ไดยังไม่แก่ไม่เฒ่าสักป่นใด กลายเป็นคนเปลี้ยคนง่อยไปกันนับไม่ถ้วน ชั้นแต่จะทำประโยชน์อย่างสำคัญแก่ตน คือหาที่พึ่งแก่ตนรักษาอุโบสถศีลก็ไม่ได้ กลัวหิวข้าว กลัวเป็นลม กลัวตาย คนพวกถนอมร่างกายอย่างกอดรัดเช่นนี้ กับพวกที่ถือว่าร่างกายเกิดมาสำหรับใช้ - เท้าสำหรับเดิน
   อุโบสถศีล ถ้ามนุษย์รักษาไม่ได้พระพุทธเจ้าคงไม่ทรงอนุญาต พวกที่รักษามาก่อนก็ไม่ได้ยินข่าวว่า ผู้ใดตาย เพราะ อดข้าวในวันรักษาอุโบสถ คิดเห็นอย่างนี้ ก็ตั้งหน้าประพฤติไปโดยธรรมดาตามหน้าที่อายุของบุคคล ๒ จำพวกนี้ ก็ไม่เห็นว่าจะได้เปรียบกันกี่มากน้อย เหตุนั้นอย่าหลงกอดรัดเขานักเลย.
   ๘. หลงทางไม่ไต่ถาม
   ได้ ใจความว่า ธรรมดาคนหลงทาง ถ้าพบ ต้องถามถ้าไม่พบ ก็คงไปที่ตนประสงค์ไม่ถูก อาจจักได้รับความลำบากมีอดข้าวอดน้ำเป็นต้น อยู่ตามที่หลงนั้นเอง เปรียบเหมือนบุคคลผู้ไม่รู้จักทางนรก ทางสวรรค์ ทางนิพพาน ทางสุข ทางทุกข์ แต่ทำหัวดื่ออวดตัวไม่ถามท่านผู้รู้ ก็คงงุ่มง่ามทรามเซอะ อาจจักต้องไปสู่นรกก็ได้ ที่จะเดาให้ถูกทางสวรรค์ ทางนิพพานนั้นแสนยาก น่ากลัวจะเสียตลอดชาติ ถ้าหลงตลอดชาติก็น่าเสียดายอยู่ เพราะเพื่อนมนุษย์ผู้ฉลาดเขาตรงไปสุคติได้ ส่วนเรายังหลงงุ่มง่ามหันหน้าไปทางทุคคติ น่าสลดใจอยู่.
   ๙. หนีจรเข้ใหญ่ไพล่ลงน้ำ
   จระเข้ใหญ่เปรียบเหมือนความทุกข์ คนเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์คิดหนีทุกข์ การหนีทุกข์ไพล่ไปมีเรือน คือไปมีสามีภรรยากันขึ้น การครองเรือน คือมีสามีภรรยานั้นเองท่านเปรียบด้วยน้ำตัวเรือนที่อยู่ของจรเข้ ต่อนั้นไปก็จะมีแต่ทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่คือจรเข้กัดร่ำไป จะเอาสุขสะอาดมาแต่ไหน ก็เพราะไม่รู้จักทางสุขนั้นเองเป็นเหตุ
   ๑๐. ต้องจองจำกับยินดี
   เครื่อง จองจำนักโทษทุกวันนี้ ที่เป็นของสำคัญแล้วไปด้วยเหล็ก คือสายโซ่คอ ๑ กุญแจมือ ๑ ตรวนใส่ขา ๑ ท่านแสดงในที่มาบางแห่งว่า "ตัณหาความรักลูก เหมือนโซ่เหล็กมาผูกคอ ตัณความรักผัวรักเมีย เหมือนกุญแจเหล็กมามัดศอก ตัณหาความรักสมบัติเข้าของ เหมือนดังตรวนเหล็กมาเป็นปลอกสวมตีน ตัณหา ๓ ประการนี้ เป็นเครื่องผูกสัตว์ให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสาร จะต้องอาศัยอริยมรรคญาณ จึงจะตัดให้ขาดได้" อาศัยนัยนี้เห็นจะตรงกับปัญหาที่ว่า ต้องจองจำกับยินดี เพราะบุคคลทั่วไปถ้ามีบุตร มีสามี มีภรรยา มีสมบัติเข้าของย่อมยินดีด้วยกันโดยส่วนมากุ
   ๑๑. สู้ไพรีไม่หาอาวุธ
   ไพรี แปลว่า ข้าศึก ธรรมดาข้าศึกเขาต้องเตรียมอาวุธยุทธภัณฑ์พร้อม จึงเรียกว่าข้าศึก เราจะต่อยุทธสงครามกับด้วยข้าศึก เราก็จะต้องเตรียมอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้พร้อม จึงจะต่อสู้กันได้ หมายยุทธสงครามภายใน ในปัญหานี้ดูเหมือนท่านประสงค์ข้าศึกภายใน ข้าศึกภายในไม่มีมาก มีสามนายเท่านั้น คือ นายชรา ๑ นายพยาธิ ๑ นายมรณะ ๑ แต่เป็นชาติเหี้ยมโหดดุร้ายมาก สังหารผลาญชีวิตของมนุษย์และสัตว์ทั่วโลก ไม่ละเว้นไว้ให้หลอเหลือเลย เราควรเตรียมอาวุธภายในไว้รับมือกับอ้าย ๒ นาย คือ นายชรา กับนายพยาธ อ้ายนายชรานั้นให้เตรียมอาวุธ คือ ยาอายุวัฒนะสู้กับมัน อ้ายนายพยาธินั้นต้องใช้สรรพยาต่าง ๆ เพราะเขามีอิทธิฤทธิ์ได้ถึง ๙๖ ประการ ถ้าเห็นจะสู้ด้วยอาวุธเหล่านั้นไม่ไหวต้องเข้าใจว่าข้าศึกรวมกำลังกันได้ แล้ว
   คือนายมรณะได้นายชรา นายพยาธิ มาเป็นกำลังเต็มที่แล้ว อาวุธข้างนอกสู้ไม่ได้แล้ว ต้องเอาอาวุธข้างในต่อสู้ อาวุธข้างในคือ ปัญญาวุธ คราวนี้เราจะต้องเอาชนะให้จงได้ให้ตรวจกองเสบียงดู คือทานที่เราบริจาคปัจจัย ๔ เกื้อกูลแก่ท่านผู้มีศีลของเรา พรักพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้วหรือยัง กำลังทรัพย์ของเราเป็นอย่างไร สัทธาธนํ ทรัพย์ คือ ศรัทธา เชื่อต่อปัญญา เครื่องตรัสรู้ของพระสมมาสัมพุทธเจ้า มีในตนของเราอยู่ หรือ
   สีลธนัง ทรัพย์ คือ ศีล มีที่ตัวของเราอยู่หรือสังฆปสาทะความเลื่อมใสในพระสงฆ์มีที่ตัวของเราอยู่ หรือ อุชุภูตัญจ ทัสสนัง ความเห็นตรงในธรรมเช่นนั้น เป็นตัวปัญญาธนัง เกิดขึ้นแก่เราแล้วหรือ เมื่อตรวจอริยทรัพย์ เห็นมีพร้อมที่ตัวเช่นนี้ เราก็รู้ได้ว่า กำลังทรัพย์กำลังพาหนะของเราพรักพร้อมอยู่แล้ว กำลังอาวุธ คือ ปัญญา เป็นของสำคัญเราก็มีพร้อมอยู่แล้ว เมื่อตรวจเห็นกำลังเสบียง กำลังทรัพย์ กำลังพาหนะ กำลังปัญญา มีพรักพร้อมเช่นนี้แล้ว จะต้องกลัวอะไรแก่อ้ายข้าศึก ออกประจันบานกับเขาดู ชี้หน้ามันทีเดียวว่า
   เฮ้ย อ้ายชรา อ้ายพยาธิ อ้ายมรณะ ข้ารู้จักหน้าตาเจ้าดีแล้ว เจ้าไปแผลงฤทธิ์แก่คนโฉดเขลาโนันเถิด อย่ามาอวดดีแก่เราเลย ตัวของเจ้าเป็นอ้ายสมบุติอ้ายสังขารไม่ใช่หรือ เจ้ารู้จักข้าไหม ถ้าไม่รู้ ข้าจะบอกให้ตัวของข้านี้ คือเจ้าอมตะ คือ ชาติกายสิทธิ์ ไม่มีชรา ไม่มีพยาธิ ไม่มีมรณะ พวกเองตามข้าไม่ทันดอก เอาเปลือกเมืองไปเถอะนี้แหละอาวุธภายใน สำหลับทำยุทธสงครามต่อข้าศึก พวกนักปราชญ์ท่านเตรียมพร้อมทุกคน เมื่อตัวของเราไม่หาอาวุธเช่นนั้นไว้สำหรับตัว ถึงคราวข้าศึกมาถึงข้า จะมิเสียทีแก่ข้าศึกหรือ.
   ๑๒. ใครไม่หยุดไม่ถึงพระ
   คำ ที่ว่าหยุดนี้ ไม่ได้หมายหยุดกายกรรม หยุดวจีกรรม หยุดมโนกรรม หมายหยุดคิด หยุดนึก หยุดการส่ายหาพระภายนอกเท่านั้น ส่วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ฝ่ายทุจริตชักสะพานเสียไม่ให้เดิน ให้อยู่กับด้วยสุจริตธรรมทุกเมื่อ ถึงแม้เราจะไปไหว้พระบาทพระฉาย หรือพระเจดีย์ เมืองย่างกุ่งหงษาก็ได้ แต่ให้เข้าใจว่า ไม่ใช่ไปหาพระภายนอก ไปบำรุงพระภายในนี้เอง คือไปบำรุงทัสสนานุตตริยะของตนนี้เอง ถ้ารู้อย่างนี้ ถึงไปก็ชื่อว่าหยุด ย่อมอยู่กับพระทุกเมื่อ
   การ ตอบปัญหานี้ ไม่ได้มุ่งจะแก้ให้ถูกตามความประสงค์ของผู้ถามตอบตามความเห็นความ ชอบใจของผู้ตอบเท่านั้นและไม่ได้มุ่งหวังที่จะตอบให้ผู้อ่านชอบใจทั่วกัน มุ่งหวังจะให้ผู้อ่านผู้ฝัง บางพวกถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ถ้าเห็นเป็นประโยชน์ก็ถือเอา ถ้าเห็นไม่เป็นประโยชน์ ขออภัยทำใจของท่านให้เป็นกลางก็แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น