วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ใบสุทธิ และ บัตรประชาชนพระภิกษุ

บัตรประจำตัวของพระสงฆ์
โดย ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์


              ก่อนหน้ารัฐประหารของ "คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ภายใต้การนำของ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก อันทำให้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2540 และรัฐบาลของ พ.ต.ต.ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลงนั้น มีข่าวจากพระวินยาธิการ หรือ "ตำรวจพระ" ว่า จะมีการออกบัตร "สมาร์ทการ์ด" ให้แก่พระสงฆ์ทุกรูปในคณะสงฆ์ไทย นอกเหนือจากใบสุทธิที่พระสงฆ์ถืออยู่ในปัจจุบัน

              ถ้ามองตามเจตนารมณ์ของพระวินยาธิการที่ว่า การออกบัตร "สมาร์ทการ์ด" ที่บรรจุข้อมูลส่วนตัวของพระสงฆ์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับบัตรประชาชน เพื่อควบคุมมิให้พระสงฆ์ออกไปเรี่ยไร หรือประพฤติในทางอื่นที่ผิดไปจากสมณวิสัยนั้น นับว่าเป็นเจตนาที่ดี แต่ประเด็นปัญหาที่ตามมาก็คือ การออกบัตร "สมาร์ทการ์ด" ที่มีลักษณะคล้ายบัตรประชาชนแต่ไม่ใช่บัตรประชาชน จะทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย) แม้จะอยู่ในประเทศเดียวกัน ภายใต้กฎหมายสูงสุดฉบับเดียวกัน ถือบัตรประจำตัวที่แตกต่างไปจากคนไทยส่วนใหญ่ และได้รับสิทธิทางกฎหมายไม่เท่าเทียมกับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ

              แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี พ.ศ.2540 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่คณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และจะจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศ พร้อมไปกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้แล้วเสร็จใน 1 ปี หลังจากนั้นจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยตามปกติต่อไป ถ้าหากว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำมั่นสัญญาของคณะปฏิรูปการปกครองฯ เราก็จะมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอีกครั้งหนึ่ง ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปีนับจากนี้

              ถ้าหากว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ภายในปลายปีหน้า บทบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาก็คงจะเหมือนเดิมเป็นส่วนใหญ่ เพราะมิใช่เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ และถ้าหากว่าบทบัญญัติทางด้านศาสนายังคงสาระเดิมไว้ ก็จะมีประเด็นที่น่าคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ในฐานะพลเมืองไทยอย่างหนึ่ง และพระสงฆ์ในฐานะสมาชิกของคณะสงฆ์ไทยอีกอย่างหนึ่ง

หน่วยงานของรัฐบาลตีความสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ไม่ตรงกัน 

              การตีความที่ไม่ตรงกันนี้น่าจะทำให้มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งของรัฐ ตีความขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศโดยกระทรวง กลาโหมตีความว่า พระสงฆ์คือประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่เข้ารายงานตัวและเกณฑ์ทหารเมื่ออายุครบเกณฑ์ แม้จะมีการผ่อนผันให้ แต่เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของการผ่อนผันแล้ว พระสงฆ์รูปนั้นก็ต้องเข้าเกณฑ์ทหารอยู่ดี ถือเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ก็ต้องทำหน้าที่รับใช้ชาติในการป้องกันประเทศ 

              แต่กระทรวงมหาดไทยตีความอีกอย่างหนึ่งว่า พระสงฆ์มิได้เป็นประชาชนไทยคนหนึ่ง ดังนั้น สิทธิอันพึงมีพึงได้ของพระสงฆ์ในฐานะประชาชนก็มิควรได้รับ กล่าวคือ พระสงฆ์ไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือรับสมัครเลือกตั้ง พระสงฆ์ไม่มีสิทธิได้รับบัตรประจำตัวประชาชน และสิทธิอื่นๆ อันเกิดขึ้นจากการถือบัตรประชาชน เช่น การได้รับหนังสือเดินทางตามขั้นตอนปกติของประชาชนทั่วไป เป็นต้น

              นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยยังออกกฎระเบียบ อันน่าจะขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศว่า ถ้าหากพระสงฆ์รูปใดเข้าไปในหน่วยราชการเพื่อขอยื่นเรื่องให้ออกบัตรประชาชนให้ พระสงฆ์รูปนั้นจะต้องถูกจับสึกในทันที ระเบียบข้อนี้ น่าจะขัดต่อกฎหมายสูงสุดอย่างร้ายแรง พระสงฆ์ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง ต้องการถือบัตรประชาชนในฐานะพลเมืองของประเทศ มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องให้ลาสิกขาบท อันเป็นความผิดร้ายแรงเทียบเท่ากับปาราชิก

ความลักลั่นของการตีความสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ในฐานะพลเมืองไทย

              ความลักลั่นของการตีความสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ในฐานะพลเมืองไทยนั้น ทำให้พระสงฆ์กลายเป็นบุคคลชั้นสามของประเทศ (สิทธิอันไม่เสมอภาคของสตรีเมื่อเทียบกับบุรุษ ทำให้สตรีกลายเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศนี้) โดยพระสงฆ์มิได้รับสิทธิใดๆ ในฐานะพลเมืองไทยแต่ประการใด แต่มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเท่ากับคนไทยทุกคน (ดังเช่นการเกณฑ์ทหาร) พระสงฆ์จึงมีแต่หน้าที่แต่ขาดสิทธิในฐานะพลเมืองไทย

              รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2540 มาตรา 38 (รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะต้องมีมาตรานี้ด้วยอย่างแน่นอน) ระบุว่า "...บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือ แตกต่างจากบุคคลอื่น"

              นักบวชในศาสนาอื่นๆ ที่เป็นพลเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวงในศาสนาคริสต์ หรือเจ้าหน้าที่ในศาสนาอิสลาม (เช่น อิหม่าม โต๊ะครู ฯลฯ) หรือผู้ประกาศศาสนาฮินดูหรือศาสนาสิกข์ อันเป็นศาสนาที่เป็นทางการของไทย ล้วนแล้วแต่ได้รับสิทธิในฐานะพลเมืองไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือสมัครรับเลือกตั้ง สิทธิในการถือบัตรประชาชน และสิทธิอื่นๆ ที่ตามมาจากการถือบัตรประชาชน แต่ทำไมพระสงฆ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองไทย จึงมิได้รับสิทธิเทียบเท่ากับนักบวชในศาสนาอื่นของไทย ทั้งที่เป็นศาสนาที่เป็นทางการเช่นเดียวกัน เรื่องนี้จะมิเป็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวหรือ

              ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 5 ประเทศคือ ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว และกัมพูชา ในประเทศพุทธศาสนาเถรวาทดังกล่าวทั้งหมด ยกเว้นไทยเพียงประเทศเดียว พระสงฆ์มีสิทธิเทียบเท่ากับพลเมืองของประเทศทุกประการ กล่าวคือ พระสงฆ์มีสิทธิถือบัตรประชาชน และมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง อันทำให้พุทธศาสนามีบทบาท ในการควบคุมกำกับจริยธรรมของนักการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ความข้อนี้ทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยล้าหลังกว่าในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเห็นได้ชัด

              การถือใบสุทธิของพระสงฆ์นั้น เป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องอยู่แล้ว เพราะใบสุทธิก็คือบัตรที่แสดงความเป็นสมาชิกของคณะสงฆ์ไทย เช่นเดียวกับบัตรข้าราชการที่แสดงความเป็นสมาชิกของราชการไทย ขณะที่ข้าราชการไทยมีสิทธิในการถือบัตรข้าราชการและบัตรประชาชนในเวลาเดียวกัน พระสงฆ์ไทยก็ควรจะมีสิทธิในการถือใบสุทธิและบัตรประชาชนเช่นเดียวกัน 

              การออกบัตร "สมาร์ทการ์ด" แก่พระสงฆ์ตามข้อเสนอของพระวินยาธิการนั้น จึงน่าจะเป็นการออกทดแทนใบสุทธิ อันจะทำให้ใบสุทธิเป็นบัตรที่ทันสมัย (บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นสมาชิกคณะสงฆ์ไทยอย่างครบถ้วน) ขณะเดียวกันพระสงฆ์ก็ควรมีสิทธิถือบัตรประชาชนในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่งด้วย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

ที่มา.-จากคอลัมน์ "หน้าต่างความจริง" นสพ.มติชนวันที่ 24 กันยายน 2549

**************************

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ของจริงอันประเสริฐ

..อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค นั้น คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจแห่งพระอริยะเจ้าทั้งหลาย อย่างเหนือสัญญาขันธ์ คือ ท่านมิได้ทรงจำแค่ว่า อริยสัจจ์มีอะไรบ้าง? หมายถึงอะไร? แต่ว่า อาการทั้งหลายแห่งอริยสัจจ์ มันอยู่ในจิตของท่านอยู่เสมอ ไม่มีทางหลงลืม แต่ยามจะต้องสื่อออกมาอธิบายให้ผู้อื่นทราบ ก็ต้องอาศัย"สัญญา" ดังนั้น จึงอาจจะหลงลืมได้เป็นธรรมดา
เปรียบเช่นว่า เปลวไฟ เรารู้ว่าร้อน เพราะเคยสัมผัสมา ส่วนที่จำได้ว่าจะสื่อออกมา อาจจะลืมได้ แต่ ส่วนที่รู้อยู่ในใจ มันไม่ลืม เพราะจิตมันรู้อย่างชัดเจน!
เช่นนี้แหละ พระอริยะเจ้า เมื่อประสบความทุกข์ ที่เกิดตามทุกข์ในอริยสัจจ์ คือ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า เสียใจ พิไรรำพันต่างๆ ก็ทราบชัดว่า เพราะเราไปยึดเอา รูปภายนอกบ้างรูปภายในบ้าง ว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นลูกเรา ว่าเป็นคนที่เรารัก,เป็นคนที่เราชัง ด้วยสัญญา คือ เห็นรูปก็จำได้ว่าเป็นใคร? ถ้าชอบก็เกิดสุขเวทนา ไม่ชอบก็ทุกข์ ไม่รู้จัก,ไม่เกี่ยวข้องก็เฉยๆ
ถ้าเราไม่มีวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เราจะรับรู้ได้อย่างไร?
เมื่อรับมาแล้ว ก็ไปปรุงแต่งสร้างเรื่องราวให้เป็นไปต่างๆ คือตกเป็นทาสสังขาร ก็เป็นทุกข์
ถ้ารู้จักทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ไปกับมัน ก็ต้องสาวไปถึงเหตุ คือ ตัณหา ที่ทำให้สังขารเราเป็นทาสมัน ฉะนั้น เมื่อ ละตัณหาได้ ความสงบก็จะแจ้งชัดในจิตใจ เช่นนี้ นิโรธก็ย่อมเกิดในจิตตน
แต่จะละตัณหาได้ ต้องรู้หนทางว่า เราจะต้องรักษาศีล เพื่อป้องกันความเดือดร้อนจากความผิดศีลธรรมก่อน เมื่อหมดความดิ้นรนเดือดร้อนแล้ว จิตจึงจะสงบตั้งมั่นได้ เมื่อจิตตั้งมั่นได้ ก็ใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นทุกข์ของแท้ ไม่ใช่ดิ้นรนไปกับมันจนไม่รู้จัก แต่ก็มักพูดว่า "รู้จัก"
นี่แหละผลของความเจริญตามวงรอบนี้เรื่อยๆ มันก็จะตัดจากหยาบๆไปเป็นขั้นๆ จนในที่สุด จิตก็คลายจากความยึดว่า นี่ลูกเรา นี่เรา ต่างๆ
แต่ก็อยู่ในสมมุติโลก ที่เกี่ยวข้องกันไปตามหน้าที่ ต้องสงเคราะห์ตามควรกระทำไปอย่างที่ควรเท่านั้น!!!
นี่คือสิ่งที่พระอริยะเจ้าทั้งหลาย จะพึงดำเนินไปตามธรรม แลฯ
 

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ยาส้ม พระสายกรรมฐาน

ยาส้มยาครอบจักรวาล

ส่วนผสม
1)จุนสี 1 ส่วน
2)เกลือ 1 ส่วน ( เกลือสินเธา มีขายมหาชัย,แม่กรอง ใช้เม็ดเล็กๆก็ดี )3)สารส้ม 1 ส่วน ( สีส้มหรือสีขาว หรือสีอื่น )
4)ดินปะสิว 1 ส่วน ( สีฟ้าอ่อน )
)กำมะถันเหลือง 1/2 ส่วนหรือ หากเป็นกำมะถันแดงใช้ 1/4 ส่วน
ส่วนใหญ่ใช้มาตรวัดเป็น กิโลกรัม ก็ชั่งตามอัตราส่วน ด้านบน
นำมาผสม ให้เข้ากัน แล้วนำไปใส่ในภาชนะที่ทนร้อนได้(ห้ามใช้ วัสดุที่เป็นโลหะอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะเกิดการกัดกร่อนจากยาที่จะระเหยออกมา)
ให้นำส่วนผสมที่ได้มา นำมาให้ความร้อนอ่อนๆ จนเกิดการระเหยของตัวยาออกมา แล้วทำการควบแน่น โดยใช้น้ำเป็นตัวหล่อเย็น จะได้น้ำใสๆหรืออาจจะสีออกเหลืองอ่อนๆ ระวังอย่าให้สีที่ได้มาเข้มเกินไป อันนี้ลำบากในการควบคุมครับ และให้ระวังเนื่องจากน้ำยาที่ได้มาเป็นกรดที่มีฤทธิ กัดกร่อนอย่างรุนแรง ดังที่ผมให้ข้อมูลเบื้องต้น
วิธีการกลั่นให้จินตนาการ การต้มเหล้าเถื่อนในสมัยก่อนครับ แบบเดียวกัน เน้นอีกครั้งห้ามนำโลหะมาสัมผัสเด็ดขาด อนุโมทนา

....
สำหรับสรุปส่วนประกอบ และการประกอบปรุงยา


วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เรื่องของสีมา


ปิดทองฝังลูกนิมิต
ฝังลูกนิมิต...งานงอกในพุทธศาสนาฯ
หลายคนที่ถูกกระแสแห่งวัฒนธรรมทางสังคมชักพาไป จนไม่ทราบถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง
ในกาลามสูตร พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเตือนให้ อย่าเชื่อเพราะทำตามกันมา, หรือเพราะเป็นไปตามเหตุแห่งตรรกะ(คาดว่าน่าจะเป็น) สุดท้าย แม้แต่ครูบาอาจารย์เราเอง ก็อย่าปลงใจเชื่อฯ
แต่สิ่งที่ควรเชื่อคือ ศึกษาแล้ว ทำแล้ว เห็นผล เช่นน้ำร้อนเดือดๆ ไม่ว่าคนชาติใดภาษาใด จะเรียกกันว่าอะไรที่แตกต่างไปสารพัด แต่ถ้าไปโดนน้ำลวกเข้า ก็มีเวทนาเกิดขึ้นเหมือนกันหมด คือเนื้อพอง หนังพอง อันนี้แหละ ที่เรารู้ชัดในอันตรายแห่งสิ่งต่างๆ เราก็ควรเชื่อว่าเป็นของจริง
ลูกนิมิตที่เรามีพิธีกรรมชวนแก่การเสียเงินให้วัดก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่า ไม่ได้บุญ ขอตอบว่า ทำบุญนี้แล้วย่อมได้บุญแน่นอน คือ บุญเกิดจากทานมัย แต่ไม่เกิดปัญญา นั่นคือ ไม่มีบุญอันเกิดจากภาวนา ซึ่งจะพาไปสู่พระนิพพานนั้นไม่ได้ทำ เพราะแค่เอาทองไปปิดใส่หินลูกกลมๆ แล้วหวังเอาอานิสงส์มากๆ
แล้วหินกลมๆ สำคัญอย่างไร? ไม่ศึกษา ปิดทองแล้ว บุญจะมายังไง? อันนี้ถามไปแล้ว ไม่ค่อยมีใครให้คำตอบ????
ลูกนิมิต คือเครื่องหมายบอกเขต(สีมา)ของ พระสงฆ์ที่จะมาประชุมทำกิจร่วมกัน เช่นจะบวชพระใหม่, ฟังพระปาฎิโมกข์ในวันอุโบสถ, กรานผ้ากฐินที่ทายกนำมาถวายให้ตัดเย็บเป็นผ้าครอง หรือแม้เวลาพระที่ต้องอยู่ปริวาสกรรม เวลาจะขออัพภาน คือขอความบริสุทธิ์ เป็นภิกษุตามปกติหลังอยู่กรรมครบกำหนดเป็นต้น
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้พระสงฆ์ต้องร่วมกันประชุมทำกิจในเขตที่กำหนด ฉะนั้น เขตก็ต้องมีเครื่องหมายเป็นหลัก เหมือนรั้วเขตแดน
พระองค์ทรงเป็นผู้สมถะ และบัญญัติให้ละความฟุ่มเฟือย จึงให้พระภิกษุร่วมกันสวดทักนิมิต คือ จะกำหนดอะไรใช้เป็นเขตแดนให้ชัดเจน เช่น ป่านี้ แม่น้ำนี้ เส้นทางนี้ ต้นไม้นี้ สระน้ำนี้ ก้อนหินก้อนนี้ ภูเขาลูกนี้ เป็นเขตด้านทิศเหนือ-ตะวันออก-ใต้-ตะวันตก เป็นต้น ให้สามารถร่วมกันนั่งฟัง และเป็นสักขีพยานร่วมกัน ออกความเห็นร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง เป็นเช่นนี้
แน่นอนว่า คงไม่มีชาวบ้านในยุคสมัยพุทธกาลพากันไปปิดทอง ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ สระน้ำ ทางสัญจร ที่พระท่านร่วมกันไปกำหนดเป็นเครื่องหมายเขตแดนนั้นแน่ๆ
แล้ว ทำไมปัจจุบันจึงทำกันใหญ่โตเอิกเริกแท้????
วันนี้มีเวลาเท่านี้ ไปบิณฑบาตก่อน ค่อยต่อวันพรุ่งนี้ฯ สาธุฯ

กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคมแคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตรก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ


ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน "ลูกนิมิต" หมายถึง ลูกที่ทำกลมๆ ประมาณเท่าบาตร มักทำด้วยหิน ใช้ฝังเป็นเครื่องหมายเขตอุโบสถ ส่วนพจนานุกรมฉบับมติชน ให้ความหมาย "ลูกนิมิต" ว่า ก้อนหินที่วางบอกเขตพัทธสีมาในการทำสังฆกรรม
ทางวิชาการให้คำจำกัดความเช่นนี้
ตามสถานะที่ได้กล่าวเมื่อวาน ลูกนิมิตที่ใช้ในปัจจุบัน มักใช้หินก้อนกลม มาทำเป็นเครื่องหมาย เพื่อความสะดวกในการจัดหา ความสวยงามเรียบร้อย และที่เพิ่มมาคือ การปิดทองเพื่อเพิ่มบารมีของผู้ปิด และมีอานิสงส์ตามแต่ฝอยจะบรรยายของแต่ละโฆษกตามงาน ใครมีฝีปากจะเรียกลูกค้าอย่างไร ก็ใช้ศิลปะการพูดตามลวดลายของตน จนปัจจุบัน ไม่มีใครทราบความเป็นมาที่แท้จริงว่า หินลูกนิมิตนั้น อาจใช้เครื่องหมายอื่นแทนก็ได้ หรือ อาจไม่ใช่หินก้อนกลมๆก็ได้
จะทักต้นไม้ในวัด ใช้เป็นนิมิตตามพระวินัยอย่างถูกต้อง????
หลายคนต้องคิดว่า "ทำไม่ถูก!! อย่าไปทำอะไรผิดประเพณีของเขาสิ!! ปู่ย่าตายายเขาทำมาดีแล้ว ไม่รู้จักรักษาไว้ ไปอุตริทำแผลงๆ!"
รับรองว่า คนต้องคิดเช่นนี้กันเป็นส่วนมาก เพราะอาตมาพบมาแล้วอย่างหนาหู
คราวนี้ สิ่งควรก็กลายเป็นไม่ควร เพราะคนมักยึดติด งมงายตามที่ตนเห็น ตนเคยชิน ไม่ได้ศึกษาตามวินัยแท้จริง ก็เลยเป็นเช่นนี้
การกลายพันธุ์ของธรรมเนียมการฝังลูกนิมิต มาจาก กฎหมายบ้านเมือง ตีความพระศาสนามาแล้วปรับให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันในสมัยเป็นร้อยปี พอผ่านมาก็ยึดตามประเพณีที่เห็น บวกกับ ความโลภของคน ไม่ว่าจะเป็นใครในกระบวนการหาลาภสักการะให้วัด ให้ตน เอาพิธีกรรมว่า ลูกนิมิตทิศนั้น มีพระสีวลี,พระอานนท์ ต่างๆ จนคนฟังควักเงินจ่ายมากๆ
วันนี้ ก็ได้แค่นี้ก่อน ยังไม่ได้เข้าเรื่องของวิสุงคามสีมา ที่เป็นต้นทางของลูกนิมิต ได้แต่กล่าวความหลงทาง ยึดติดแต่ธรรมเนียมประเพณีเท่านั้นฯ

เรื่องของการปิดทองฝังลูกนิมิต…ต่อ
พอเข้าใจเรื่องของลูกนิมิตไปแล้วคร่าวๆ ว่าในสมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร? ต่างจากในสมัยนี้อย่างไร?
ครั้งนี้จะอธิบายว่า ทำไม?ปัจจุบันจึงนิยมปิดทองให้ได้บุญกัน!
เริ่มจาก กฎหมายเมืองไทย กำหนดเรื่อง"วัด"ไว้ 3 ระดับ(ขอใช้ภาษาชาวบ้านแทนภาษากฎหมาย) คือ
1.ที่พักสงฆ์ คือ มีพระ มีวัด แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนตาม กฎหมาย
2.สำนักสงฆ์ คือ เป็นวัดตามกฎหมาย แต่ยังไม่ได้รับ "วิสุงคามสีมา" คือ ยังไม่มีโบสถ์ถูกต้องตามกฎหมาย
3.วัด คือ มีครบตามกฎหมาย ได้แก่ มีใบตั้งวัดแล้ว มีโบสถ์บวชพระได้ เพราะได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเรียบร้อยแล้ว
ขอเน้นว่า อาตมาใช้คำเปรียบเทียบเท่านั้น ใครจะไปกำหนดคำอย่างอาตมาให้วัดต่างๆใช้ เขาจะหัวเราะเยาะเอาได้ล่ะ!
จุดสำคัญที่พยายามโยงให้มาเชื่อมต่อกันคือ "วิสุงคามสีมา" กับ "ลูกนิมิต" เท่านั้น และจะอธิบายรายละเอียดของวิสุงคามฯในช่วงท้าย
ตอนนี้เอาแค่ว่า วัดยื่นขอวิสุงคามฯแล้ว พระราชาทรงอนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์อย่างถูกต้องเรียบร้อย วัดที่ได้รับ ส่วนใหญ่ก็จะพากันจัดงานอย่างใหญ่โต เพราะสร้างวัด 1 วัด ก็มีแค่ 1 โบสถ์เป็นส่วนมาก 
นี่ก็เป็นที่มาของการจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต เพื่อหาเงินเข้าวัด 
นำมาบำรุงพระศาสนา แต่ว่า นานๆเข้า ความจริงที่เป็นที่มาตามพระวินัยของพระพุทธองค์ ก็ถูกปิดบังจนลบเลือน หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้…
วิสุงคามสีมา (อ่านว่า วิสุงคามะสีมา) แปลว่า เขตแดนส่วนหนึ่งจากแดนบ้าน คือที่ดินที่แยกต่างหากจากที่ดินของบ้านเมือง เป็นเขตที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานแก่พระสงฆ์เป็นการเฉพาะเพื่อใช้สร้างอุโบสถโดยประกาศเป็นพระบรมราชโองการ
ที่ที่พระราชทานแล้วจะมีเครื่องหมายเป็นเครื่องบอกเขต เครื่องหมายนี้เรียกว่า นิมิต
ภายในวิสุงคามสีมานิยมสร้างโรงอุโบสถไว้เพื่อทำสังฆกรรม
การที่จะได้เป็นอุโบสถถูกต้องตามพระวินัยนั้นจะต้องได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาก่อน แล้วพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันสวดถอนพื้นที่ทั้งหมดในเขตสีมานั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นสีมาเก่า เรียกว่าถอนสีมา หลังจากนั้นจึงสวดประกาศให้เป็นพื้นที่นั้นเป็นสีมา เรียกว่า ผูกสีมา ทำดังนี้จึงจะเป็นสีมาหรือเป็นอุโบสถถูกต้องตามพระวินัย
....…
พัทธสีมา คือ สีมาหรือเขตแดนที่พระสงฆ์ผูกไว้แล้ว คือพระสงฆ์ร่วมกันกำหนดให้เป็นเขตทำสังฆกรรมตามพระวินัย เรียกพิธีกรรมที่กำหนดอย่างนั้นว่า "ผูกสีมา" โดยทั่วไปเรียกพัทธสีมาว่าโบสถ์ หรืออุโบสถ ซึ่งคำว่าสีมาหมายถึงเขตหรือแดนที่กำหนดไว้สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์ เป็นเขตชุมนุมสงฆ์โดยเฉพาะ ซึ่งพระสงฆ์กำหนดว่าผู้อยู่ในเขตนั้นจะต้องร่วมกันทำสังฆกรรมโดยความพร้อมเพรียงกัน
เขตหรือแดนที่จะผูกเป็นพัทธสีมานั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน เพราะต้องเป็นเขตแยกต่างหากจากเขตแดนบ้าน ซึ่งเรียกว่า "วิสุงคามสีมา"
สีมา แปลว่า เขต, แดน, เครื่องหมายบอกเขตใช้ว่า เสมา ก็มี
สีมา หมายถึงเขตหรือแดนที่กำหนดไว้สำหรับทำสังฆกรรมต่างๆ กำหนดเขตแดนด้วยเครื่องหมายบอกเขตที่เรียกว่า นิมิต ที่เหนือนิมิตนิยมสกัดหินเป็นแผ่นประดิษฐานไว้ในซุ้มที่สร้างครอบนิมิต ถือเป็นสัญลักษณ์แทนนิมิต เรียกแผ่นหินนั้นว่า ใบสีมา หรือ ใบเสมา เรียกซุ้มนั้นว่า ซุ้มสีมา หรือ ซุ้มเสมา
ใบสีมา นิยมทำด้วยแผ่นหินสกัดเป็นแผ่นหนาประมาณ 5-7.5 เซนติเมตร มีรูปทรงเฉพาะ บางแห่งสกัดเป็นลายเส้นรูปธรรมจักรเพิ่มความสวยงาม ประดิษฐานไว้ในซุ้มที่สร้างคร่อมนิมิตทั้ง 8 ทิศของโบสถ์ คล้ายเป็นสัญลักษณ์แทนนิมิต ถ้าเป็นวัดราษฎร์นิยมทำซุ้มละแผ่นเดียว ถ้าเป็นวัดหลวงนิยมทำซุ้มละสองแผ่นเรียกว่า สีมาคู่ นัยว่าเพื่อเป็นข้อสังเกตให้ทราบว่าเป็นวัดราษฎร์หรือวัดหลวง
สีมา ยังหมายถึงอุโบสถได้ด้วย
อุโบสถ (อ่านว่า อุ-โบ-สด) ถือเป็นอาคารที่สำคัญภายในวัดเนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำ สังฆกรรมซึ่งแต่เดิมในการทำสังฆกรรมของ พระภิกษุสงฆ์จะ ใช้เพียงพื้นที่โล่ง ๆ ที่กำหนดขอบเขตพื้นที่สังฆกรรมโดยการกำหนดตำแหน่ง“สีมา” เท่านั้น แต่ในปัจจุบันจากการมีผู้บวชมากขึ้น อีกทั้งภายใน พระอุโบสถมักประดิษฐานพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญ ๆ ทำให้มีผู้มาสักการบูชาและร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก พระอุโบสถจึงถูกสร้าง ขึ้นเป็นอาคารถาวรและมักมี การประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
และยังมีอีกมีหลายความหมาย คือ หมายถึง
สถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมทำสังฆกรรมตามพระวินัย เรียกตามคำวัดว่า อุโบสถาคาร บ้าง อุโบสถัคคะ บ้าง แต่เรียกโดยทั่วไปว่า โบสถ์
การเข้าจำ คือการรักษาศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ในวันขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เรียกว่า รักษาอุโบสถ และรักษาอุโบสถศีล
วันพระหรือวันฟังธรรมของคฤหัส วันขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ซึ่งเป็นวันที่คฤหัสถ์รักษาอุโบสถกัน เรียกว่า วันอุโบสถ
วันที่พระสงค์ลงฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน เรียกว่าวันอุโบสถ
การสวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนหรือทุกวันอุโบสถของพระสงฆ์ เรียกว่า การทำอุโบสถ
โบสถ์ เป็นคำเรียกสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมกันทำสังฆกรรมตามพระวินัย เช่นสวดพระปาติโมกข์ ให้อุปสมบท มีสีมาเป็นเครื่องบอกเขต คำว่า โบสถ์ เป็นคำที่ใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนา
โบสถ์ เรียกเต็มคำว่า อุโบสถ หรือ โรงอุโบสถ ถ้าเป็นของพระอารามหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ บางถิ่นเรียกว่า สีมา หรือ สิม
โบสถ์ เป็นสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์ เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า เป็นเขตแดนที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่สงฆ์เป็นพิเศษ เรียกว่า วิสุงคามสีมา
ก่อนที่จะมาเป็นโบสถ์ที่ถูกต้องตามพระวินัยจะต้องมีสังฆกรรมที่เรียกว่า ผูกสีมา หรือ ผูกพัทธสีมาก่อน อนึ่ง คำว่าอุโบสถ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีคือ "อุปะ" แปลว่า การเข้าถึง สนธิกับ "โอสถ" ซึ่งแปลว่า ยาแก้โรค ดังนั้น จึงมีความหมายถึง การเข้าถึงยาแก้โรค อันแสดงให้เห็นว่าการมาอุโบสถก็คือการได้เข้าถึงธรรมะอันเป็นยาแก้โรคกิเลสนั่นเอง

'โบสถ์ อุโบสถ พระอุโบสถ' 'โบสถ์ อุโบสถ พระอุโบสถ' : คำวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์ สถาปัตยกรรมที่ใช้สร้างโบสถ์ ส่วนใหญ่หลังคาสูงแบบบ้านเรือนไทย นิยมสร้างบ้านชั้นเดียวติดกับพื้นยกพื้นสูงขึ้น วิหาร หมายถึง อาคารที่สร้างขึ้นโดยมีหลังคา ๒ ปีก หรือหลังคาที่ลาดลงไป ๒ ข้างอีกนัยหนึ่งคือหลังคาที่มีสันหลังคาหรืออกไก่ หรือหลังคาที่มียอดแหลม อย่างทรงพีระมิดก็ได้ หลังคานี้อาจจะเป็น "หลังคาทรงมลิลา" โดยมีหน้าจั่วหัวท้ายหลังคาก็ได้ หรือจะไม่มีหน้าจั่วแต่เป็นทรงปั้นหยาก็ได้ หรืออาจจะผสมกันทั้ง ๒ แบบก็ได้ อุโบสถ (อ่านว่า อุ-โบ-สด) ถือเป็นอาคารที่สำคัญภายในวัดเนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรมซึ่งแต่เดิมในการทำสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์จะใช้เพียงพื้นที่โล่งๆ ที่กำหนดขอบเขตพื้นที่สังฆกรรมโดยการกำหนดตำแหน่ง "สีมา" เท่านั้น แต่ในปัจจุบันจากการมีผู้บวชมากขึ้น อีกทั้งภายในพระอุโบสถมักประดิษฐานพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญๆ ทำให้มีผู้มาสักการบูชาและร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก พระอุโบสถจึงถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารถาวรและมักมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ทั้งนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายคำว่า "โบสถ์" ไว้ว่า เป็นคำเรียกสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมกันทำสังฆกรรมตามพระวินัย เช่นสวดพระปาติโมกข์ ให้อุปสมบท มีสีมาเป็นเครื่องบอกเขต คำว่า โบสถ์ เป็นคำที่ใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนา โบสถ์ เรียกเต็มคำว่า อุโบสถ หรือโรงอุโบสถ ถ้าเป็นของพระอารามหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ บางถิ่นเรียกว่า สีมา หรือสิม โบสถ์ เป็นสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์ เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า เป็นเขตแดนที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่สงฆ์เป็นพิเศษ เรียกว่า วิสุงคามสีมา ก่อนที่จะมาเป็นโบสถ์ที่ถูกต้องตามพระวินัยจะต้องมีสังฆกรรมที่เรียกว่าผูกสีมา หรือผูกพัทธสีมาก่อน ส่วนคำว่า "พัทธสีมา" เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า สีมา หมายถึงเขตหรือแดนที่กำหนดไว้สำหรับทำสังฆกรรมของสงฆ์ เป็นเขตชุมนุมสงฆ์โดยเฉพาะ ซึ่งพระสงฆ์กำหนดว่าผู้อยู่ในเขตนั้นจะต้องร่วมกันทำสังฆกรรมโดยความพร้อมเพรียงกัน พัทธสีมา หมายถึงสีมา หรือเขตแดนที่พระสงฆ์ผูกไว้แล้ว คือพระสงฆ์ร่วมกันกำหนดให้เป็นเขตทำสังฆกรรมตามพระวินัย เรียกพิธีกรรมที่กำหนดอย่างนั้นว่า ผูกสีมา โดยทั่วไปเรียกพัทธสีมาว่า โบสถ์ หรืออุโบสถ เขตหรือแดนที่จะผูกเป็นพัทธสีมานั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากทางราชการก่อน เพราะต้องเป็นเขตแยกต่างหากจากเขตแดนบ้าน ซึ่งเรียกว่า วิสุงคามสีมา