วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

พระคุณแม่


พระคุณแม่
/////
แม่สละสวย สละสาว คราวอุ้มท้อง 
แม่ไม่ร้อง แม่ไม่บ่น แม่ทนได้
แม่เฝ้าถนอม จนครรภ์แก่ แม่เต็มใจ
จะหาใคร เหมือนแม่ แพ้ทุกคน
ครบเก้าเดือน เคลื่อนคลอด รอดชีวิต 
แม่ใกล้ชิด ลูกน้อย คอยฝึก้ฝน 
แม่ลำบาก อย่างไร ใจแม่ทน 
สายเลือดข้น เต้าแม่กลั่น ปันลูกกิน
แม่ป้องริ้น ป้องไร มิให้ผ่าน 
แม่สงสาร ห่วงลูกยา กว่าทรัพย์สิน 
แม่เห่กล่อม ยามนิทรา เป็นอาจิณ
แม่ไม่ผิน แม่ไม่ผัน ทุกวันมา 
ยามลูกสุข แม่สุขสม อารมณ์ชื่น 
ยามลูกขื่น แม่ขม ระทมกว่า
ยามลูกไข้ แม่อดนอน ร้อนอุรา
ยามลูกยา อับโชค แม่โศกใจ
คราลูกหิว แม่หิวกว่า น้ำตาร่วง 
แม่เป็นห่วง ดิ้นรนหา เอาม้าให้ 
แม้แม่อด หมดข้าวปลา ไม่ว่าไร 
แม่สละได้ ลูกอิ่มแปร้ แม่ทนเอา 
ใครไหนเล่า เฝ้าอบรม บ่มนิสัย
แม้เติบใหญ่ ไม่ท้อถอย คอยนั่งเฝ้า
พระคุณเลิศ ลูกโศก ช่วยบรรเทา 
ใครไหนเล่า รักมั่นแท้ แม่ฉันเอง
%%%%%%%
งานวันเกิดยิ่งใหญ่ใครคนนั้น
ฉลองกันในกลุ่มผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศสรรเสริญเพลินทะนง
วันเกิดส่งชีพสิ้นเร่งวันตาย
          ณ มุมหนึ่งซึ่งเหงาน่าเศร้าแท้
หญิงแก่ๆ นั่งหงอยและคอยหา
โอ้วันนี้ในวันนั้น อันตราย 
แม่คลอดสายโลหิตแทบปลิดชนม์
          วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่
เจ็บท้องแท้เท่าไหร่ก็ไม่บ่น
กว่าอุ้มท้อง กว่าจะคลอด รอดเป็นคน
เติบโตจนบัดนี้นี่เพราะใคร
          แม่เจ็บเจียนขาดใจในวันนั้น
กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส
ได้ชีวิตแล้ก็หลงระเลิงไป
ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา
          เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดนะ
ควรแต่จะคุกเข่ากราบเท้าแม่
ระลึกถึงพระคุณอบอุ่นแท้
อย่ามัวแต่จัดงานประจานตัว
////////
พระคุณของแม่
พระคุณแม่เลิศฟ้ามหาสมุทร                          
พระคุณแม่สูงสุดมหาศาล
พระคุณแม่เลิศกว่าสุธาธาร                             
ใครจะปานแม่ฉันนั้นไม่มี
อันพระคุณใครใครในพิภพ                             
ยังรู้จบแจ้งคำมาพร่ำขาน
แม่พ่อคุณต่อบุตรสุดประมาณ                        
ขอกราบกาลระลึกถึงซึ่งพระคุณ
เจ้าข้าเอ๋ยใครหนอใครให้กำเนิด                      
จึงก่อเกิดเติบใหญ่ด้วยไออุ่น
กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาด้วยการุณย์                
ช่วยค้ำจุนจนรอดพ้นเป็นคนมา
ถึงลำบากร่ายกายใจห่วงลูก                           
ด้วยพันธ์ผูกดวงใจให้ห่วงหา
หัวอกใครจะอุ่นเท่าอีกเล่านา                          
คอยปลอบเช็ดน้ำตาคราระทม
เป็นแดนใจใสสะอาดปราศกิเลส                     
เป็นสรรเพชรของบุตรวิสุทธ์สม
ความรักเปลี่ยมเมตตาน่านิยม                        
ประดุจลมโชยเย็นใครเห็นดี
หอบสังขารทำงานเลี้ยงลูกน้อย                       
เกรงจะด้อยใจทราบต่ำศักดิ์ศรี
จึงส่งให้ได้ศึกษาวิชามี                                   
ให้ได้ดีกว่าแม่พ่อหวังรอคอย
เหมือนนกกาหาเหยื่อมาเผื่อลูก            
 เปรอความสุขหาทรัพย์ไว้ให้ใช้สอย
ยามไกลพรากจากอุราตั้งตาคอย                     
ใจละห้อยนอนสะอื้นขื่นขมทรวง
กว่าลูกลูกจะสำนึกพระคุณท่าน                      
ช่างเนินนานบ้างชิวาลาลับล่วง
บ้างก็ป่วยจนแทบสิ้นแดดวง                          
 ลูกจึงห่วงเอาใจใส่ในกายา
อย่าให้รอใกล้ตายจึงกายใกล้                         
เป็นศพไปจึงรู้บุญคุณท่านหนา
ยามท่านอยู่ควรรู้ชัดสร้างศรัทธา                     
ตอบแทนคุณมารดาบิดาเอย
*ขอน้อมนอบหมอบกราบเท้าพระแม่แก้ว        
สำนึกแล้วความเลวเคยเหลวไหล
ลูกซึ้งแล้วแนววิถีที่เป็นไป                               
แม่ช้ำใจเพราะลูกมาจนชาชิน
ลูกสร้างกรรมทำบาปกราบเท้าแม่                             
ซึ้งใจแท้แม่อภัยให้หมดสิ้น
น้ำตาแม่แต่ละหยดที่รดริน                             
ลูกถวิลดังน้ำกรดลดหัวใจ
ลูกขอบวชแทนพระคุณคุณแม่แล้ว                  
ร่มโพธิ์แก้วโพธิ์ทองของลูกเอ๋ย
อันกุศลผลบุญที่คุ้นเคย                                  
ขอชดเชยคุณแม่ท่านกตัญญู
^^^^^^^
       รักใดเล่าเท่ารักแม่
 รักใดเล่า          รักแน่          เท่ารักแม่ 
ผูกสมัคร           รักมั่น         ไม่หวั่นไหว     
ห่วงใดเล่า         เท่าห่วง       ดังดวงใจ 
ที่แม่ให้             กับลูก         อยู่ทุกครา  

*ยามลูกชื่น        แม่ชม         ตรมหลายเท่า 
ยามลูกเศร้า        แม่โศก        วิโยคกว่า 
ยามลูกหาย         แม่ห่วง        ดังดวงตา
ยามลูกมา           แม่หมด        ลดห่วงใย 
....
"พ่อแม่ก็แก่เฒ่า   
จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน   
เพียงเสี้ยววารของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก   
เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนนาน   
ย่อมร้าวรานสลายไป 

 ขอเถิดถ้าสงสาร   
อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย   
ย่อมเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า   
เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน   
คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ 

  เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง  
ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้  
ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่   
แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ผล  
 เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษถ้าทำผิด   
ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ  
หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง   
มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป  
 ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง"

พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู


มหากษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวงของเรา…

ขอขอบคุณบทความโดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน

ลูก ๆ ทุกคน… ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

ที่นี้… มาดูตัวอย่างบ้าง…บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้… ในหลวงของเรา…
ในหลวง… นอกจาก จะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก… เป็นTHE KING OF KINGS แล้ว ในหลวง ของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่…ทั้ง 3 หวัง ในหลวงปฎิบัติได้ครบถ้วน…สมบูรณ์ เป็น ตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยังไง? ตามอาจารย์มา…อาจารย์ จะฉายภาพให้เห็น
หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า…เฝ้ารับใช้… ใครเคยเห็นภาพที่… สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง… ประคองเดินไปตลอดทาง… เคยเห็น ไหม…? ใครเคยเห็น…กรุณายกมือให้ดูหน่อย… ขอบคุณ…เอามือลง
ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย…มีคนเยอะแยะ… มีทหาร… มีองครักษ์…มีพยาบาล… ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า…

“ไม่ต้อง…คนนี้…เป็นแม่เรา…เราประคองเอง”
ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา… สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน…เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว… เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน…ไม่ต้องอายใคร… เป็นภาพที่…ประทับใจมาก… เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่… ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ… สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น… 8,000 คน ยกมือขึ้น…สาธุ แซ่ซ้อง…สรรเสริญ
“กษัตริย์ยอดกตัญญู”

ในหลวง…เดินประคองแม่… คนเห็นแล้ว… เขาประทับใจ ถ่ายรูป…เอามาทำปฎิทิน …เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ…กราบไหว้…
ลองหันมาดูพวกเรา…ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้…ลูกชาย… แต่งตัวโก้…ลูกสาว…แต่งตัวสวย… แต่เวลาเดิน…ไม่มีใครประคองแม่… กลัวไม่โก้… กลัวไม่สวย… ข้าราชการ…แต่งเครื่องแบบเต็มยศ… ติดเหรียญตรา…เหรียญกล้าหาญ… เต็มหน้าอก… แต่เวลาเดิน…ไม่กล้าประคองแม่… กลัวไม่สง่า…กลัวเสียศักดิ์ศรี… ประคองแม่…เป็นเรื่องของ…คนใช้…หลายคน…ให้ประคองแม่…ไม่กล้าทำ อาย… เวลาทำดี…ไม่กล้าทำ…อาย, เวลาทำชั่ว…กล้า…ไม่อาย…ใครเห็นภาพนี้ ที่ไหน…กรุณาซื้อใส่กรอบ…แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน… เอาไว้สอนลูก เห็นภาพ ชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น …ยังน้อยไป…มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น…

หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า…เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา… ของสมเด็จย่า… มาแถลงในที่ประชุม…ต่อหน้าสื่อมวลชน…ว่า… ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง…เสด็จจากวังสวนจิตร… ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ…? ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่…ไปทำให้แม่…ชุ่มชื่น หัวใจ… พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง…
โอ้โห!…ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่… สัปดาห์ละกี่วัน…ทราบไหมครับ? พวกเราทราบไหมครับ…สัปดาห์ละกี่วัน?… 5 วัน มีใครบ้างครับ…? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่…สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก…..
ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย… เป็นพันโครงการ… มีเวลาไปกินข้าว กับแม่… สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก…พลตรี…อธิบดี… ปลัดกระทรวง…ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่… บอกว่า…งานยุ่ง แม่บอกว่า… ให้พาไปกินข้าวหน่อย… บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ… ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว… แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ…เห็นตัวเองหรือยัง…?
พ่อแม่…พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง …ฝนตก…น้ำเซาะ…อีกไม่นานก็โค่น… พอถึงวันนั้น… เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว… ในหลวงจึงตัดสินพระทัย…ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่ สมเด็จย่าอายุ…93 สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วันไปไหน ครับ…? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์…องคมนตรี บอกว่า… ในหลวงถือศีล 8 วันพระ …ถือศีล 8 นี่ยังไง…? ต้องงดข้าวเย็น… เลยไม่ได้ไปหาแม่… วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ… อาจจะกินข้าวกับ พระราชินี…กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน… ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม…?

ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว…ทุกครั้ง…ที่ในหลวง ไปหาสมเด็จย่า…ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก…แล้วสมเด็จย่า…ก็จะดึงตัวในหลวง… เข้ามากอด… กอดเสร็จก็หอมแก้ม… ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงบ้าง…?
ภาพนี้…ถ้าใครมี… ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่…ที่มีต่อลูก…อย่างยอดเยี่ยม ตอนสมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวง… อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง…คงไม่หอมเท่าไร…เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม… สมเด็จย่าหอมแล้ว…ชื่นใจ… เพราะ ท่านได้กลิ่นหอม… จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญ
ไม่นึกเลยว่า…ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า…ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา…สามัญชน …เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์… เหมือนเด็กหญิงทั่วไป… เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงหน่ะ…เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์…เป็น พระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง… ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน… ก้มลงกราบ…คนธรรมดา… ที่เป็นแม่ หัวใจลูก… ที่เคารพแม่… กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว…
คนบางคน… พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่… เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ…เป็นชาวนา… เป็น ลูกจ้าง… ไม่เคารพแม่…ดูถูกแม่
แต่นี่…ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว… นี่แหละครับความหอม

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง… ท่านหอมความดี… หอมคุณธรรม…หอมกตัญญู… ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว…ก็ร่วมโต๊ะเสวย …
ตอนกินข้าวนี่…ปกติ.. .แค่เห็นลูกมาเยี่ยม…ก็ชื่นใจแล้ว…
นี่ลูกมากินข้าวด้วย…โอย…ยิ่งปลื้มใจ
แม่ทั้งหลาย…ลองคิดดูซิ…อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่…อันนี้ อร่อย…แม่ลองทาน… รู้ว่าแม่ชอบทานผัก… หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่… เอ้าแม่ …แม่ทานซะ…ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ ก็เจริญอาหาร…กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล…เอาใจใส่…
กินข้าวเสร็จแล้ว…ก็มานั่งคุยกับแม่… ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง… ทราบไหม…? ตอนในหลวงเล็ก ๆ…แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ…“อยากฟังแม่สอนอีก” เป็นยังไงบ้าง…?
เป็นกษัตริย์…ปกครองประเทศ… อยากฟังแม่สอนอีก… พวกเรา เป็นยังไง…? เราคิดว่า…เรารู้มาก …เราเรียนสูง…เรามีปริญญา… แม่จบ ป.4 เวลาแม่สอน…ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว… รำคาญ…พูดจาซ้ำซาก… เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที… เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่…
สมเด็จย่าสอน…ในหลวงจะเอากระดาษมาจด… มีอยู่เรื่องหนึ่ง… ที่จำได้แม่น… สมเด็จย่า…เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ …เข้ามาบอกว่า…อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน

แม่บอกว่า “ลูกอยากได้จักรยาน… ลูกก็เก็บสตางค์… ที่แม่ให้ไปกินที่ โรงเรียนไว้ซิ” …เก็บมาหยอดกระปุก… วันละเหรียญ…สองเหรียญ พอได้มากพอ… ก็เอาไปซื้อจักรยาน…
นี่คือสิ่งที่แม่สอน…แม่สอนอะไร…ทราบไหมครับ…?
ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน…พอลูกขอ…รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย… ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ… ฟุ่มเฟือย… เหลิง… และหลงตัวเอง
พอโตขึ้น…ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ…ก็ได้… ยิงตำรวจ…ยังได้… เพราะหลงตัวเอง… พ่อตนใหญ่ เห็นไหม…? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน…
แต่สมเด็จย่านี่…เป็นยอดคุณแม่… สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก…ลูกอยากได้ …ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้… ไปหย่อนกระปุก… แม่สอน 2 เรื่อง คือ…ให้ประหยัด…ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
“ความประหยัด…เป็นสมบัติของเศรษฐี” ใครสอนลูกให้ประหยัดได้… คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
พอถึงวันปีใหม่… สมเด็จย่าก็บอกว่า… “ปีใหม่แล้ว…เราไปซื้อจักรยานกัน…” “เอ้า…แคะกระปุก…ดูซิมีเงินเท่าไหร่…?” เสร็จแล้ว…สมเด็จย่าก็แถมให้… ส่วนที่ แถมนะ… มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก…
มีเมตตา…ให้เงินลูก… ให้…ไม่ได้ให้เปล่า… สอนลูกด้วย…สอนให้ประหยัด สอนว่า…อยากได้อะไร… ต้องเริ่มจากตัวเรา… คำสอนนั้น…ติดตัวในหลวงมาจน ทุกวันนี้…
เขาบอกว่า…ในสวนจิตรเนี่ย… คนที่ประหยัดที่สุด…คือ…ในหลวง… ประหยัดที่สุด… ทั้งน้ำ…ทั้งไฟ… เรื่องฟุ้งเฟ้อ…ฟุ่มเฟือย..ไม่มี …เป็นอันว่า… ภาพนี้ชัดเจน…

หวังที่ 2. ยามป่วยไข้… หวังเจ้า… เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวง ทำกับ แม่ยังไง…? สมเด็จย่า…ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช… ในหลวงไปเยี่ยม… ตอนไหนครับ…? ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ…จึงเสด็จกลับ… ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง…
แม่…พอเห็นลูกมาเยี่ยม…ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า… เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต …ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดเวลาว่า… จะให้ยายังไง…จะเปลี่ยนยาไหม…? จะปรับปรุงการรักษายังไง…ให้ดีขึ้น… ทำให้สมเด็จย่า… ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น… เห็นภาพไหม…?
กลางคืน…ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า…คืนละหลายชั่วโมง…ไปให้ความ อบอุ่นทุกคืน ลองหันมาดูตัวเราเองซิ… ตอนพ่อแม่ป่วย… โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า…ตอนนี้…อาการเป็นยังไง…? พ่อแม่…ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว…โผล่หน้าไปให้เห็น พอแค่เป็นมารยาท… แล้วก็กลับ… เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู… เราไม่ได้ไปเพื่อ ทดแทนพระคุณท่าน…น่าอายไหม…?
ในหลวง…เสด็จไปประทับกับแม่… ตอนแม่ป่วย…ไปทุกวัน… ไปให้ความ อบอุ่น…ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง… นี่คือ…สิ่งที่ในหลวงทำ
คราวหนึ่ง…ในหลวงป่วย… สมเด็จย่า…ก็ป่วย … ไปอยู่ศิริราช…ด้วยกัน …อยู่คนละมุมตึก… ตอนเช้า… ในหลวงเปิดประตู….แอ๊ด…..ออกมา… พยาบาลกำลัง เข็นรถสมเด็จย่า… ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวง…พอเห็นแม่… รีบออกจากห้อง… มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก …กราบทูลว่า ไม่เป็นไร…ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า…
“แม่ของเรา…ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น…เราเข็นเองได้…”
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน… เป็นกษัตริย์… ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว…ป้อนน้ำให้แม่… ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่… เลี้ยงหัวใจ แม่… ยอดเยี่ยมจริง ๆ … เห็นภาพนี้แล้ว….ซาบซึ้ง
มาตามดูต่อ….

หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม…ต้องตาย…วายชีวา …หวังลูกช่วย….ปิดตา …เมื่อสิ้นใจ วันนั้น…ในหลวง…เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน… จับมือแม่…กอดแม่…ปรนนิบัติแม่… จนกระทั่ง…”แม่หลับ…” จึงเสด็จกลับ
พอถึงวัง… เขาโทรศัพท์มาบอกว่า… สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์… ในหลวง…รีบเสด็จกลับไป…ศิริราช… เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง… ในหลวง ทำยังไงครับ…?
ในหลวงตรงเข้าไป… คุกเข่า…กราบลงที่หน้าอกแม่… พระพักตร์ในหลวง…ตรงกับหัวใจแม่… “ขอหอมหัวใจแม่…เป็นครั้ง สุดท้าย…” ซบหน้านิ่ง…อยู่นาน… แล้วค่อย ๆ เงยพระพักตร์ขึ้น…. น้ำพระเนตรไหลนอง….
ต่อไปนี้… จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว… เอามือ…กุมมือแม่ไว้ มือนิ่ม ๆ …..ที่ ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก…จนได้เป็นกษัตริย์… เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง…ชีวิตลูก….แม่ปั้น…
มองเห็นหวี… ปักอยู่ที่ผมแม่… ในหลวงจับหวี…ค่อย ๆ หวีผมให้แม่…หวี… หวี…หวี…. หวีให้แม่สวยที่สุด… แต่งตัวให้แม่…ให้แม่สวยที่สุด… ในวันสุดท้าย ของแม่….
เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์เป็นที่สุด… เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู…. หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว…..
กษัตริย์…..ยอดกตัญญู
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

คัดลอกจากหนังสือ
หยุดความเลว…ที่…ไล่ล่าคุณ โดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

พ่อแม่รังแกฉัน


พ่อแม่รังแกฉัน ของพระยาอุปกิตศิลปสาร
เป็นบทกลอนหนึ่งจากในหนังสือ "คำประพันธ์บางเรื่อง" โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกโดยตามใจลูกทุกอย่าง เป็นกลอนที่ยังใช้ได้ดีในปัจจุบัน เพื่อเตือนใจพ่อแม่บางคนที่เลี้ยงดูลูกโดยตามใจจนเกินไป ....

มีซินแสแก่เฒ่าได้เล่าไข  
ถึงเรื่องงิ้วว่าเล่นกันเช่นไร    
มีข้อใหญ่นั้นก็เป็นเช่นละคร
แต่ข้อหนึ่งแกเล่าเขาประสงค์   มุ่งจำนงในข้างเป็นทางสอน
ชี้ทางธรรม์มรรยาทแก่ราษฎร   เหมือนละครสุภาษิตไม่ผิดกัน
เราบวชนาคโกนจุกในยุคก่อน   มีกล่าวกลอนเพราะพริ้งทำมิ่งขวัญ
การขันหมากยุคเก่าท่านเล่ากัน   มีสวดฉันท์เรียกว่าสวดมาไลย์
เค้าก็คือท่านหวังจะสั่งสอน        แต่ผันผ่อนตามนิยมสมสมัย
มีเฮฮาพาสนุกเครื่องปลุกใจ       สมกับได้มีงานการมงคล
ในหมู่บ้านย่านกลางเมื่อปางก่อน
มีโรงสอนธรรมทานการกุศล
เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาประชาชน
ในตำบลอัตคัตไกลวัดวา
เรียกศาลาโรงธรรมประจำบ้าน
เหมือนสถานที่ฝึกทางศึกษา
บางคราวมีการกุศลปนเฮฮา
เพื่อให้พาเพลิดเพลินเจริญใจ
ฝ่ายจีนเขาได้มีอย่างที่ว่า        เอางิ้วมาฝึกหัดดัดนิสัย
ย่อมดูดดื่มซึมซาบปลาบปลื้มใจ
เหมือนอย่างได้รู้เห็นที่เป็นจริง
งิ้วเรื่องหนึ่งแกเล่าครั้งเยาว์อยู่
ได้ไปดูจำไว้ได้ทุกสิ่ง
เกาะในจิตติดแน่นแม้นกับปลิง
เลยเป็นสิ่งสอนใจจนใหญ่มา
ตามเรื่องนั้นว่ามีเศรษฐีหนึ่ง       เป็นคนซึ่งสูงชาติวาสนา
มีทรัพย์สินเหลือล้นพ้นคณนา
มีบ้างช่องแน่นหนาด้วยข้าไท
ท่านเศรษฐีมีบุตรสุดที่รัก           แกฟูมฟักใฝ่จิตพิสมัย
บุตรคนเดียวแสนจะห่วงดังดวงใจ
หวังจะให้สืบวงศ์ดำรงไป
มีโรงเรียนไกลบ้านอาจารย์สอน
กลัวลูกอ่อนลำบากไม่พรากได้
อุตส่าห์จ้างครูบามาแต่ไกล
ให้สอนในบ้านตนสู้ปรนปรือ
ฝ่ายลูกเรียนผู้เดียวให้เปลี่ยวจิต
มักเบือนบิดเบื่อชังเรื่องหนังสือ
อยากได้เพื่อนพูดจาและหารือ        
พ่อก็อือออตามด้วยความรัก
เกณฑ์พวกเด็กในบ้านให้อ่านด้วย    
ก็เพื่อช่วยชวนใจให้สมัคร
ครั้นมีเพื่อนเรียนล้อมอยู่พร้อมพรัก  
กลับชวนชักเล่นกันไม่หมั่นเรียน
ครูก็ดีจี้ไชมิได้หยุด
แกเห็นสุดเอาใจจึงได้เฆี่ยน
หวังให้กลัวอาญาตั้งหน้าเพียร
แต่กลับเพี้ยนผิดคาดถึงขาดกัน
คือบุตรท่านเศรษฐีหนีไปหา
ฟ้องพ่อว่า ครูนี้แกตีฉัน
ปลอบให้เรียนก็ไม่ไปจนใจครัน
ต้องเป็นอันเลิกกับครูที่อยู่มา
อุตส่าห์จ้างครูใหม่ตามใจลูก
แต่ไม่ถูกใจบุตรสุดจะหา
ครูคนนั้นฉันเข็ดไม่เมตตา
คนนี้ว่าจู้จี้พิรี้พิไร
แต่เปลี่ยนครูอยู่ฉะนี้ไม่มีเหมาะ
มักทะเลาะเลิกเรียนต้องเปลี่ยนใหม่
พวกครูๆ เข็ดกลัวกันทั่วไป
ถึงจะให้เงินมากไม่อยากเอา
บิดาผู้รักบุตรสุดจะกลุ้ม
ลูกเป็นหนุ่มใหญ่โตยังโง่เง่า
เที่ยวจ้างครูอยู่ห่างต่างลำเนา
จ้างเท่าไรให้เท่านั้นไม่พรั่นกลัว
แต่ก็ไม่ยืดไปเท่าไรนัก                  ประเดี๋ยวชักเหหันต้องสั่นหัว
เผอิญมาปะครูที่รู้ตัว    
แกหวังชั่วค่าสอนสู้ผ่อนตาม
ศิษย์จะรู้เท่าไรไม่ธุระ    
ชื่อเสียงจะเสียไปก็ไม่ขาม
ศิษย์ผู้ใดตั้งหน้าพยายาม
สอนให้ตามแต่รักสมัครเรียน
ครูคนนี้ถูกใจอยู่ได้ยืด  
ถึงจะจืดจางการเรื่องอ่านเขียน
ก็ถูกจิตศิษย์ตนย่อมวนเวียน
อยู่จำเนียรโตใหญ่ไร้วิชา
ฝ่ายพ่อแม่รักบุตรสุดจะรัก
บุตรสมัครทางไหนมิได้ว่า
ใช้เงินทองกอบกำไม่นำพา
อยู่ไม่ช้าแกก็ตายทำลายชนม์
ทรัพย์สมบัติมรดกตกแก่ลูก
ไม่ต้องปลูกเปลืองแรงแสวงผล
มีเพื่อนมาฮาฮือนับถือตน
เฝ้าแต่ขนทรัพย์จ่ายสบายจริง
เอาอะไรได้ทุกอย่างช่างสะดวก
จะหยิบหมวกหมวกรี่เหมือนผีสิง
ทุกอย่างรู้เอาใจไม่ประวิง  
ดูเหมือนชิงกันมาคราต้องการ
ไม่ช้านักทรัพย์ลดหมดสะดวก
จะหยิบหมวกหมวกกระเดียดข้างเกียจคร้าน
ถ้าเผลอหน่อยคอยหนีตะลีตะลาน
วิ่งเข้าร้านโรงจำนำไม่อำลา
เพื่อนทั้งมวลล้วนหายเหมือนตายจาก
ที่มีมากคือสหายพวกนายหน้า
บ้านของท่านขายเท่าไร? ให้ราคา
ผมช่วยค้าขายให้ด้วยไมตรี
เพื่อนสนุกพลุกพล่านขายบ้านช่อง
พอเงินทองหมดเรียบก็เงียบจี๋
ต่อนี้ไปใครเยือนคือเพื่อนดี
ไม่เช่นนี้เพื่อนโหล่โง่ระยำ
บุตรเศรษฐีเป็นมาถึงครานี้
ไม่เห็นมีมิตรสหายมากรายกล้ำ
ผิวผู้ดีมีกระดากพะอากพะอำ
จะคิดทำการอะไรก็ไม่เป็น
ต้องตรำตรากจากย่านถิ่นบ้านเก่า
ขอทานเขาเลี้ยงตนด้วยข้นเข็ญ
พักสถานศาลเจ้าทุกเช้าเย็น
ค่อยคิดเห็นโทษตัวที่ชั่วมา
คิดถึงเรื่องเก่าแก่พ่อแม่รัก
สู้ฟูมฟักใฝ่ฝึกให้ศึกษา
ตามใจลูกเหลือล้นคณนา
ทุกสิ่งสารพัดไม่ขัดใจ
คิดถึงครูผู้สอนแต่ก่อนเก่า
บางคนเฝ้าฝึกฝนพ้นวิสัย
บางคนเฝ้าจู้จี้พิรี้พิไร  
ไม่ถูกใจฟ้องพ่อก็อออือ
จนเหลวไหลได้เข็ญถึงเช่นนี้
พ่อแม่ที่รักลูกทำถูกหรือ
สิ่งใดพาเสียคนกลับปรนปรือ
ร้องไห้ฮือบ่นว่าเหมือนบ้าบอ
วันหนึ่งไปถึงถิ่นบ้านซินแส
ก็เดินแร่เข้าไปหาตรงหน้าหมอ
ร้องขอทานทันทีไม่รีรอ  
ฝ่ายท่านหมอมองหน้าไม่ว่าไร
ลงท้ายแกกลอกหน้าหาว่าหลอก
เฮ้ย. เจ้าวอกเอ็งอย่ามาไถล
หลอกดูลูกสาวข้าหรือว่าไร
หรือเข้าใจว่ากูไม่รู้ที
ข้าหมอดูรู้จักลักษณะ
อย่างมึงน่ะบอกเพศเป็นเศรษฐี
รูปลักษณ์พักตร์เจ้าเผ่าผู้ดี    
ทำเช่นนี้ตั้งใจอย่างไรกัน
ลูกเศรษฐีฟังว่าน้ำตาหลั่ง  
ตอบเสียงดัง ”พ่อแม่รังแกฉัน!”
ร้องไห้โฮซบหน้าพลางจาบัลย์
คนบ้านนั้นต่างพากันมาดู
ท่านเจ้าข้า! พ่อแม่รังแกฉัน    
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉันทำผิดคิดระยำกลับค้ำชู    
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร
ท่านทายฉันนั้นถูกลูกเศรษฐี  
ผู้กลีเลวกว่าบรรดาไพร่
ซึ่งยังรู้กอบการงานใด ๆ    
เลี้ยงชีพได้เพียงพอไม่ขอทาน
โอ๊ย! ยิ่งเล่ายิ่งช้ำระกำเหลือ  
โปรดจุนเจือเถอะท่านหมอขอข้าวสาร
เหมือนช่วยชีพข้าเจ้าให้เนานาน
 จักเป็นการบุญล้นมีผลงาม
ฝ่ายท่านหมอฟังเล่าสิ้นเค้าเงื่อน
แกจึงเอื้อนโอษฐ์มีวจีถาม
ข้าฟังเจ้าเล่าไปก็ได้ความ    
 จึงเห็นตามพ่อแม่รังแกตรง
เข็ดหรือไม่ใครรังแกอย่างแม่พ่อ
หรือว่าพอทนดอกบอกประสงค์
โอ๊ย! หนเดียวชีวิตแทบปลิดปลง
ถ้าซ้ำสองต้องลงอวิจี
อย่ารังแกอีกเลยลูกเคยเข็ด
ขอจงเมตตาเถิดประเสริฐศรี
ท่านหมอฟังยิ้มเยื้อนเอื้อนวจี    
เจ้าว่าดีสมจริงทุกสิ่งอัน
ข้าไม่อยากรังแกเช่นแม่พ่อ    
ที่เจ้าขอข้าไม่อ่อนตามผ่อนผัน
แม้เจ้าขอสิ่งใดข้าให้ปัน      
ก็เป็นอันข้าทำซ้ำรังแก
เจ้าจะตกอวิจีไม่ดีดอก  
เจ้าจะออกปากพ้ออย่างพ่อแม่
ลูกเศรษฐีตกตะลึงทะลึ่งแล
โอ๊ย! ผมแย่ถูกล่อลงบ่อตม
เมื่อไม่ให้ใครจะว่าเจ้าข้าเอ๋ย
นี่กลับเย้ยยกคำทิ่มตำผม
จะไล่ไปก็ไม่ไล่ให้ระทม  
ว่าแล้วซมซานกลับด้วยคับใจ
หมอขยับจับบ่าช้าซีเจ้า
 คำที่เล่าบอกข้าน่าเลื่อมใส
พ่อแม่รักลูกผิดชนิดไร        
เขาก็ได้ทุกข์ถมจนล้มตาย
เวลานั้นตัวเจ้ายังเยาว์อยู่      
จึงไม่รู้ยั้งตนจนฉิบหาย
เดี๋ยวนี้เจ้ารู้สึกสำนึกกาย    
จงขวนขวายฝึกหัดดัดสันดาน
ข้าจักเป็นพ่อแม่ช่วยแก้ให้  
ต้องตามใจแต่ข้าจะว่าขาน
ถ้ายอมตามข้าว่าไม่ช้านาน  
จักไม่ต้องขอทานเขาต่อไป
ลงท้ายลูกเศรษฐียินดีรับ      
ไปอยู่กับซินแสแก้นิสัย
ไม่ว่ามีกิจการสถานใด        
 แกใช้ให้ทำสิ้นจนชินการ
แกปรานีจี้ไชด้วยใจรัก      
จนรู้จักค้าขายหลายสถาน
อยู่กับหมอต่อมาไม่ช้านาน    
 ก็พ้นการทุรพลเป็นคนแคลน
ชาวเราเอ๋ยพ่อแม่มุ่งแต่รัก  
 สู้ฟูมฟักในบุตรนั้นสุดแสน
แต่ความรักมักเดินจนเกินแกน
เลยเข้าแดนทุกข์ถมระทมกาย
ดังเศรษฐีรักบุตรสุดสวาท  
 บุตรอุบาทว์มิได้รักสมัครหมาย
เอาแต่ใจใฝ่ตามความสบาย    
 พ่อแม่ตายก็เพราะตรมระทมใจ
ยังมิหนำซ้ำว่าด่ากระดูก      
หาว่าถูกพ่อแม่รังแกได้
แต่ชาวเราเนาเขตประเทศไทย
คงจะไม่พบปะขอประกัน
เพราะพระราชบัญญัติอุบัติแล้ว
เหมือนดวงแก้วส่องสว่างทางสวรรค์
บังคับให้ศึกษาทั่วหน้ากัน  
 พระคุณธรรม์ข้อนี้ไม่มีเทียม
ที่สุดนี้ชาวเราน้อมเกล้าฯ นบ
พระจอมภพภูบดินทร์พระปิ่นเสียม
พระปลุกใจไทยทั่วตั้งตัวเตรียม
ทุกอย่างเยี่ยมยิ่งคุณวิบุลเอย