วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องของผีฝากทำบุญ

... ประสบการณ์เรื่องหนึ่ง ที่ต้องถ่ายทอดเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานว่า พระพุทธองค์และพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ได้รู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องของโลก ท่านกล่าวไว้เรื่องของภพภูมิต่างๆ แต่คนในสมัยปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์มองไม่เห็น จึงไม่เชื่อถือ ว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่หากว่าผู้ที่รู้จักพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าภพภูมิอื่นมี แต่ว่าไม่ใช่เป็นผู้งมงายว่าเขาจะมาช่วยทำให้เราดีหรือเลว หลงไหลไปเพื่ออิทธืปาฏิหารย์ต่างๆ ทำให้ศักดิ์สิทธ์ ทำให้ร่ำรวย มีชื่อเสียง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นของภายนอก ที่ควรจะสละออกทั้งสิ้น ... สิ่งที่จะนำมาเล่ากล่าวนี้ จะนำมาเพื่อเป็นอุธาหรณ์สำหรับ ผู้ไม่กลัวสวรรค์นรก เหมารวมไปเสียทั้งหมดว่างมงาย ทั้งๆที่ตนยังงมงายกับความเมามันกับกามคุณทั้งหลาย ไม่มีโอกาสมาศึกษาธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง แยกแยะไม่ออกว่า ความสุขทางกาย ทางเนื้อหนังมันไม่เที่ยง มีแล้วหายไป มีแล้วหมดไป ไม่แน่นอน ... เริ่มเรื่อง ข้าพเจ้าเป็นพระภิกษุได้เดินทางไปพักในงานนมัสการรอยพระพุทธบาท ที่เขาคิชกุฎจันทบุรี ในปี ๒๕๕๕ เป็นปีที่หลวงพ่อเขียน ท่านมรณะภาพหลังงานไม่นานนัก ในการเดินทางในครั้งนี้ ข้าพเจ้าเดินทางคู่ไปกับพระอาจารย์อ๊อด ซึ่งท่านพรรษามากกว่า ๕ พรรษาแล้ว เมื่องานนมัสการเสร็จลง ข้าพเจ้าและพระอาจารย์อ๊อด ก็ได้เดินทางด้วยเท้าจากวัดพลวงเพื่อไปเกาะช้าง ตามที่ได้วางแผนกันไว้แล้วบนเขาคิชกุฏ
... เมื่อการเดินทางเริ่มขึ้น เช้าวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามแผนที่แล้ว ต้องเดินออกมาทาง อ.มะขาม เพื่อต่อไป อ.ขลุง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ที่อ.ขลุงนี่แหละ เมื่อมีผู้ที่ต้องการนำเงินใส่ซองปัจจัยมาถวาย แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่รับปัจจัยทำให้โยมเกิดอาการต้องเปลี่ยนเป็นการขอไปส่งให้ถึงทางสุขุึมวิทแทน เพราะโยมผู้นั้นขับรถตู้รับส่งนักเรียน ในระหว่างทางข้าพเจ้าก็ได้คุยกับโยมผู้นั้นไปเรื่อยๆ มีข้อน่าสังเกตุใดก็สอบถามไป เช่นเห็นว่าหน้าซองปัจจัยเขียนถึง เด็กชาย เพ็ชรรัตน์ (นุ๊ก) จึงได้สอบถามว่าเป็นลูกชายของเขาหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่า "ไม่ได้เป็นครับ" ก็สอบถามต่อว่า "คงเป็นเด็กนักเรียนที่เขาขับรถรับส่งละมั้ง?" คำตอบก็เหมือนเดิมคือ "ไม่ได้เป็นครับ" จึงต้องสอบถามความเป็นมาว่าเป็นเช่นไร? ทำไมต้องทำบุญส่งไปให้เด็กคนนี้ด้วย?
คำตอบที่ได้รับฟังคือ ... เขาออกตัวก่อนว่า ตัวเขาไม่ใช่คนที่เคยทำบุญมาก่อน ทำไปตามประเพณีเฉยๆ แต่ว่าเหตุการณ์ที่เขาขอใช้คำว่า "ผมคงฝันไป" แต่มันเหมือนมากเลยครับ ผมฝันว่าผมหมดชีวิตลงไปแล้ว เหมือนผมได้ตายจากโลกมนุษย์ไปแล้วจริงๆ ผมเห็นสิ่งที่เคยได้ยินคำเล่าลือถึงเมืองนรกว่ามีลักษณะแบบใด ผมได้เห็นสิ่งเหล่านั้นหลายๆสิ่งเช่นกัน ผมได้เห็นผู้ทีตายจากมนุษย์แล้วหลายๆคน ที่เคยเป็นญาติ เป็นเพื้อน เป็นคนรู้จัก ต่างก็ทักว่า "แกตายแล้วหรือ? ถึงได้มาอยู่ที่นี่้" เขาเล่าต่อไปว่า เขาตกใจมาก และมั่นใจว่าตนเองได้ตายไปแล้วจริงๆ จึงคิดต่อไปว่า จะมีทางใดบ้างที่จะช่วยให้กลับบ้านได้ พอได้คำตอบในตนเองว่า "ต้องให้ทาน" เขาจึงได้ควักเอากระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบเงินออกจากกระเป๋า ให้กับผู้คนที่เดินผ่านเขาไป ให้ไปๆๆๆๆ จนมาถึงเด็กชายคนหนึ่ง พอดีว่า "เงินหมด" หมดกระเป๋าไปแล้ว เขาคงทำสีหน้าให้เด็กนั้นพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... ..เด็กชายนุ๊ก ได้กล่าวคำที่ทำให้เขารู้สึกพอโล่งใจได้บ้างว่า "น้าเงินหมดแล้ว ไม่เป็นไร ผมจะให้น้าเอง ไว้น้าเอาไปทำบุญต่อเถิดนะ !! " ..เขารู้สึกตื้นตัน แต่ก็เกรงใจ จึงได้พูดคุยต่อรองกันซักนิด แต่ว่า"มันจำเป็น" จึงได้สอบถามชื่อ นามสกุล และชื่อเล่นไว้ เพื่อจะได้นำมาชดใช้คืนให้ในภายหลัง ..เมื่อเขารับเงินจากเด็กนั้นแล้ว เขาก็ได้เดินมาพบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง เขาดีใจมากสอบถามและขอความช่วยเหลือจากท่านทันที พอจำได้คร่าวๆว่า พระท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ฟัก จ.จันทบุรี เมื่อท่านรับเรื่องแล้ว พระท่านคงพิจารณาซักนิดนึง ก่อนจะรับปากว่าจะช่วย เมื่อพระท่านได้หายไปสักครู่หนึ่ง ได้เดินกลับมาแจ้งแก่เขาว่า โยมกลับไปได้แล้ว ให้เดินไปตามทางที่อาตมาชี้แล้วจะกลับไปถึงบ้านได้ เขาดีใจมาก ได้ถวายปัจจัย และกล่าวขอบพระคุณต่อพระคุณท่านแล้วรีบออกเดินทางกลับทันที... ..จนได้มาตื่นอยู่ที่ที่นอนของตนเอง ญาติต่างพากันดีใจที่เขาฟื้นกลับมา เขารีบจดชื่อนามสกุล และชื่อเล่นไว้ทันที เพื่อกันลืม เมื่อตนเองได้ไปทำบุญที่ไหน ก็ไม่ลืมจะทำบุญถึงน้องนุ๊กด้วย และเมื่อวันที่ข้าพเจ้าและพระอาจารย์อ๊อดได้เดินจาริกผ่านมา เขาก็ไม่ลืมที่จะต้องทำบุญส่งไปถึงน้องนุ๊กนี้อีก...
.. ได้สนทนากันพอคร่าวๆ เพียงเท่านี้รถก็ถึงถนนสุขุมวิท เขาจอดส่งข้าพเจ้าเพียงเท่านี้ แล้วพระอาจารย์อ๊อด ก็กล่าวคำอนุเคราะห์ว่า จะรับซองที่โยมตั้งใจถวายนั้นไปถวายที่วัดอื่นที่จะผ่านไปให้ ไม่ขอรับมาใช้เอง ... เขามีความสุขมากที่พระอาจารย์อ๊อดสงเคราะห์เขา ..หากจะถามว่า ข้าพเจ้าทราบหรือไม่ว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน? ตอบได้เลยว่า "ไม่รู้" เพราะรับเรื่องแล้วก็รับฟัง และรับสงเคราะห์ให้เท่านั้นเอง เบอร์โทรก็อยู่หลังรถ ใครจะคิดไปจำว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า.. .. เมื่อถึงถนนสุขุมวิทแล้ว เราทั้งสองก็เดินหน้าต่อไป ผ่านวัดไปหลายๆวัดก็มิได้แวะกัน ต่างพากันเดินเลยไปเรื่อยๆ เย็นมากแล้วต้องหาที่พัก ก็คิดว่าจะหาพักวัดที่ใกล้ๆแถวๆนั้น แต่ว่ากลับกลายเป็นไปพักที่ ศูนย์เรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงนิเวศป่าชายเลนลุ่มน้ำเวฬุ ซึ่งก็ได้รับการอุปัฏฐากดูแลเป็นอย่างดีก็ขอขอบคุณในความมีน้ำใจในครั้งนี้
.. วันต่อมาหลังที่เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันถวายภัตตาหารเช้าแล้ว จึงเดินทางต่อด้วยเท้า มาทางแหลมงอบ ต้องขอบอกตามตรงว่าตั้งแต่เช้าจนจะเย็นแล้ว ไม่มีรถจอดนิมนต์รับเราทั้งสองท่านเลย ต้องเดินไปแวะไปเมื่อเวลาร้อนจัดๆ แต่เรื่องน้ำและอาหารต่างๆที่โยมนำมาถวายนั้น ต้องคอยสละให้เด็กบ้าง ผู้ที่สมควรบ้างไปเรื่อยๆ เพราะเดินไม่พอกิโล(เมตร)น้ำหนักของสัมภาระคือน้ำและของกินต่างๆ มากกว่าสัมภาระที่เราติดตัวมาเสียอีก.. .. ราวสี่โมงเย็นได้ มีรถกระบะที่วัยรุ่นสองคนขับมาได้จอดรับ เมื่อได้ขึ้นรถแล้ววัยรุ่นทั้งสอง รับทราบว่าเรากำลังจะไปเกาะช้าง ก็ยินดีที่จะไปส่งให้ แต่ว่าจะไปพักวัดไหน ก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้จักเกาะช้างเลย ด้วยความหวังดีของวัยรุ่นทั้งสอง จึงนิมนต์ให้พักที่วัดบ้านของเขาก่อน คือ วัดเขาดินแดง อ.แหลมงอบ เพราะว่าบ้านเขาอยู่ข้างวัด รู้จักเจ้าอาวาสเป็นอย่างดี เขาเองก็พึ่งจะสึกออกมาเช่นกัน เป็นอันว่า เราก็ต้องยอมรับเงื่อนไข เพราะว่าวันพรุ่งนี้เขาจะได้มารับเราไปส่งได้ง่ายกว่า หาวัดได้ง่ายกว่าด้วย .. เป็นอันว่าข้าพเจ้ากับพระอาจารย์อ๊อดก็ได้มาพักที่วัดเขาดินแดงนั่นเอง หลังจากที่เราเข้าจัดเก็บสัมภาระที่กุฏิตามที่พระอาจารย์สมชาย เจ้าอาวาสวัดเขาดินแดงจัดให้แล้ว ก็มานั่งคุยเล่นกับท่าน พระอาจารย์อ๊อดก็ได้นำซองปัจจัยเพื่อจะหาตู้ปัจจัยใส่ลงในตู้ แต่ว่าที่วัดนี้หาไม่พบจึงได้สอบถามพระอาจารย์สมชาย ว่าต้องการจะนำเอาปัจจัยที่โยมถวายมา ใส่ตู้รับบริจาค พระอาจารย์สมชาย ว่า"ที่นี้ไม่มีตู้รับบริจาค" พระอาจารย์อ๊อดจึงได้นำซองนั้นถวายไว้กับพระอาจารย์สมชาย.. .. เมื่อพระอาจารย์สมชาย รับซองปัจจัยนั้นแล้ว อ่านหน้าซอง จึงพูดว่า "นี่เขานำปัจจัยมาถวายทำบุญให้ ไอ้นุ๊กนี่" .. "อ้าว!! ... พระอาจารย์รู้จักนุ๊ก !! ด้วยหรือครับ????" .. พระอาจารย์สมชายกล่าวตอบว่า "ก็นี่ไงล่ะ เขาเขียนชื่อ นามสกุล ชื่อเล่นมาถูกทั้งหมดเลย"... .. "แล้ว นุ๊ก นี่อยู่ที่ไหน? ละครับ , แล้วพระอาจารย์รู้จักนุ๊ก ได้ยังไงละครับ?" .. "ก็อยู่ที่หมู่บ้านถัดไปนี่เองแหละ" "ก็รู้จักซิ เพราะไอ้นุ๊กมันเป็นลูกศิษย์ผม... ผมเป็นคนไปสวด,ไปเทศน์หน้าศพให้มันเองแหละ.." "มันเป็นเด็กวัยรุ่น ผมสอนธรรมะให้เด็กๆใน รร.แถวๆนี้ มันก็ตามผมมาที่วัด มาเป็นลูกศิษย์.. แต่เมื่อประมาณ ๒ ปีที่แล้ว ไอ้นุ๊กมันขี่รถเครื่องตามกันไปสองคัน คันแรกมันผ่านรถสิบล้อที่กำลังถอยหลังออกจากซอยได้ แต่ไอ้นุ๊กขี่ตามมาพอดีเสียบเอาตูดรถสิบล้อพอดี ตายคาที่เลย"... .. นี่แหละข้าพเจ้า ขอนำเอาเรื่องที่ได้ประสบมาด้วยตนเอง มาเผยแผ่ให้กับผู้ที่ต้องการนำไปเป็นสติเตือนใจว่า ภพภูมิอื่นมีมาให้รับทราบกัน ว่า แม้แต่ผี ก็ยังมีจิตคิดจะทำบุญกับอาจารย์ของตัว โดยฝากส่งมาผ่านข้าพเจ้ากับพระอาจารย์อ๊อด มาจากโยมที่อ.ขลุง ไปถึงยังอาจารย์สมชายเป็นที่เรียบร้อย..ทุกประการ

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความเปลี่ยนแปลงไปของสำนักสงฆ์

กุฏิพักหน้าเขา ทางเข้าถ้ำ

ศาลาทำบุญด้านล่างตอนแรกเริ่ม



แรกเริ่มที่เข้ามาอยู่ ยังไม่ได้ทำการสะสางป่าบริเวณด้านล่าง ทางเข้าอุ่งเขา

สภาพโขดหิน ก่อนทำการถมลูกรัง

ได้นำเอาลูกรังเข้ามาถมทางเข้า บริเวณทางขึ้นเขา

ขณะทำการถมดินลูกรังด้านล่างที่พัก วันวิสาขะ ปี ๒๕๕๖

สภาพด้านหน้าทางขึ้น

การเตรียมการก่อนวันทอดกฐิน ปี ๒๕๕๖

สภาพทางเข้าอุ่งเขา จากทางแยกจากเส้นลูกรัง

สภาพทางเข้าเมื่อยามหน้าฝนในพรรษา ๒๕๕๖
อยู่จำพรรษาเหมือนกับถูกปล่อยเกาะ
เพราะขาดการติดต่อกับชาวบ้านโดยปริยาย

สภาพทางเข้าก่อนปรับถมลูกรัง

เมื่อทำการถมลูกรังทางเข้าด้วยเงินกฐินปี ๒๕๕๖

ขณะเริ่มทำการก่อสร้างศาลาทำบุญ ปี ๒๕๕๖
ศาลาพักที่ยอดเขา
ศาลาที่ยอดเขา(ภาพจากด้านหน้า)

กุฏิหลังแรกที่เริ่มทำ

เมื่อทำเสร็จหลังออกพรรษา
เข้ามาอยู่พักอาศัยครั้งแรก วันลอยกระทง ๒๕๕๕
ซึ่งคราวนั้นยังมุงหลังคาไม่เสร็จ ใช้กลดกางนอน


สภาพศาลาทำบุญในปัจจุบัน

สภาพที่พักบนเขา มีกุฏิ ศาลา และ อุโบสถ

พระมหาวินัย ได้เมตตามาผูกสีมาให้ เมื่อ ปี ๒๕๕๖

ภาพการตีตารางเพื่อทำการสวดถอนสีมาเก่า

ภาพศาลาทำบุญ ก่อนสร้างอุโบสถ

ภาพศาลาอุโบสถที่สร้างแล้ว