วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ความอัศจรรย์ในธรรม.. อาหารทิพย์


  ผู้เขียน(พระมหาธีรนาถ อัคคธีโร)ขอไขปริศนาที่หลวงตาพระมหาบัวได้เล่าเฉพาะที่โรงน้ำร้อนวัดปาบ้านตาด ต้นปี ๒๕๕o นี้เอง
 คือตามปกติท่านจะไม่เล่าเรื่องลึกลับลี้เร้นเหล่านี้ เพราะท่านว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตน การนำออกมาเผยแผ่บางคนอาจไม่เข้าใจ เกิดการตำหนิลบหลู่เป็นการก่อกรรมแก่เขาได้
   ท่านเล่าว่า คราวหนึ่งท่านอยู่ในป่าลึกเพียงรูปเดียว เร่งความเพียรภาวนาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายซูบซีดผอมเหลือง เรี่ยวแรงหดหาย เหลือแต่ใจอันดวงเด่น มีพลังมหาศาลข้างใน หมุนไปด้วยธรรมจักรตลอดวันคืน แต่พลังกายเหนื่อยล้าเต็มที
 ขณะที่ท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมบางประการในยามค่ำคืน เทพธิดาตนหนึ่งได้ปรากฏกายเข้ามานั่งกราบไหว้ข้างบริเวณทางจงกรม เฝ้ารักษาอยู่โดยตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แล้วนางเทพธิดาจึงกราบเรียนท่านว่า
 “...เขาเคยเป็นแม่ของท่านในอดีตชาติ เกี่ยวข้องกันมานาน บัดนี้ได้มาเจอกัน ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นท่านซูบผอมซีดเซียวก็อยากมาช่วยเหลือด้วยการถวายอาหารทิพย์ อันจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น ขอให้ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นแม่เป็นลูก โปรดเมตตารับอาหารทิพย์เถิด” 
  หลวงตาท่านตอบว่า “...เวลานี้เป็นเวลาวิกาลโภชน์ (เลยเที่ยง) รับภัตตาหารไม่ได้”
   “อาหารนี้ไม่มีสี ไม่มีรส เป็นอาหารวิเศษไม่ต้องกินด้วยปาก เพียงไล้ไปตามร่างกาย การไล้นั้นก็ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว..ก็ถือว่าได้ดื่มด่ำรสของทิพย์แล้ว” นางเทพธิดากล่าวสาธยาย
  “แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเจตนานั้นแหละเป็นตัวกรรมคือการกระทำ.... แม้เป็นอาหารทิพย์ก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถึงไม่มีใครเห็นเราก็รู้อยู่แก่ใจ ใจนี่แหละเป็นตัวพาสร้างเวรสร้างกรรม มิใช่อวัยวะอื่นใด”
   เมื่อหลวงตาท่านพูดจบ ก็ก้าวเดินจงกรมต่อไป ท่ามกลางความเงียบในไพรสณฑ์ นางเทพธิดาก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเคลื่อนร่างที่เบาเหมือนปุยนุ่นไปไหน เพ่งมองท่านด้วยความห่วงใยและภูมิใจที่มีพระลูกชายเป็นพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อความพ้นทุกข์
  แล้วนางจึงกราบเรียนท่านว่า “พรุ่งนี้เช้าจะนำอาหารทิพย์มาถวายใหม่”
  พอรุ่งเช้านางเทพธิดาได้มานั่งรออยู่หน้ากุฏิหลังน้อยมุงด้วยหญ้า กิริยาแช่มช้อยงดงาม หาสตรีใดในโลกเหมือนหรือเพียงเทียบเทียมมิมีได้ สตรีที่เขาว่าสวยที่สุดในโลกเป็นนางงามจักรวาลเมื่อเทียบกับนางเทพธิดาแล้วก็เหมือนลิงโก๊กตัวหนึ่งเท่านั้น น่าขำจริงๆ โลกมนุษย์เอย..
   เมื่อพระหลวงตาเห็นดังนั้นจึงถามนางว่า...การที่เธอมานั่งอยู่หน้ากุฏิเราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาได้ ว่าพระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ข้อครหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้
  นางตอบว่า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น ไม่มีใครสามารถเห็นฉันได้..นอกจากท่านเท่านั้น นี่เป็นเทพเนรมิตเพื่อมาถวายอาหารทิพย์แก่ท่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
   “ถวาย ก็ถวายมาสิ” หลวงตาตวาดนางเทพธิดาหน่อยๆ
   นางจึงบอกให้ท่านนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง การถวายอาหารทิพย์ก็เป็นอันเริ่มขึ้นและจบลง ร่างกายของท่านกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด เหมือนปลาขาดน้ำแล้วพลันได้น้ำ เหมือนคนหิวกระหายมานานวัน พลันมาเจอบ่อน้ำอันใสสะอาด ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณที่ซีดเซียวกลับผุดผ่อง หายเมื่อย หายหิว
   ปฏิบัติภาวนาต่อไปได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องมีอาหารตกท้อง..อยู่เย็นสบายคลายความทุกข์กังวล 
=======


ส่วนของหลวงปู่จาม
สามวันแล้วที่ไม่ได้ฉันจังหัน วันนี้ท้องหิวแต่อิ่มใจ แต่ก็เหนื่อยเมื่อยล้ากับการเดินทางตลอดวันค่ำ แต่เช้าจนค่ำมาหลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้หลายวันมาก็ขบฉันไม่ค่อยอิ่มท้องอิ่มไส้
  ได้แต่ฉันน้ำเปล่ามาหลายวันแล้ว เช้าสายบ่ายคล้อย แดดก็ร้อน ใจก็หวิวๆ อยู่ หูอื้อกำลังเรี่ยวแรงเริ่มอ่อน เดินลัดดงลัดป่าขึ้นเขาลงห้วยขึ้นลง ขึ้นลง ขึ้นลงตลอดวัน เวลาตะวันเที่ยงตรงหัวนั่งพักฉันน้ำในกระบอกจนหมด กะว่าลงต่ำลงห้วยก็จะกรองเอาน้ำอีก
 ฉันน้ำแล้วก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็เดินทางต่อ ใจยังสั่นๆ อยู่ อดใจเดินต่อไปอีก มองดูตะวันก็บ่ายคล้อย เดินต่อไปอีกได้เหนื่อยใหญ่ๆ หนึ่ง
 หูอื้อหนักเข้าตาก็ลายมืดตึบเข้ามา วูบดับทั้งยืนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันล้มลงในตอนไหน คงนอนสลบอยู่นานอยู่หรอก
  มารู้สึกตัวก็ว่า เอ...กูมานอนอยู่ตรงนี้แต่เมื่อไหร่ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นดินเห็นใบไม้แห้ง เห็นก้อนหิน เห็นรากไม้ต้นไม้ เห็นป่าไม้
 โอ... กูนอนตายสลบไปนี่ นานเท่าใดหนอ จึงค่อยๆ พลิกตัวมองหาพระอาทิตย์ตะวันก็ค่ำลงมาก กะประมาณได้ประมาณสัก ๒ ชั่วโมง
 พอกำหนดสติได้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนกับลมพัดลมเป่าเย็นเบาๆ เริ่มแต่ต้นคอไล่ลงไปจนบั้นเอว จากบั้นเอวก็กลับคืนขึ้นหาต้นคอตีนผม
  บาตรก็ยังคล้องไหล่อยู่ กลดก็วางข้างๆ ถุงย่ามก็ยังคล้องไหล่ อยู่ ความเย็นเบาๆ นั้นค่อยๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น
  ตัวเราเองก็เหมือนกับว่าพละกำลังเรี่ยวแรงมากขึ้นๆ จึงได้พลิกตัวไปทางหลัง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปี รูปร่างงดงาม หน้าตาดูดีเป็นคนหนุ่มรูปงาม ผิวดำแดง ดูมือเล็บดูเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านไม่เหมือนคนบ้านดงบ้านป่า
   เขาถามว่า “ท่านคงจะเหนื่อยมากนะครับ” 
 “เหนื่อยอยู่” เราตอบพร้อมพยักหน้า
 “ไม่เป็นอะไรมากหรอก ให้นอนพักอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวผมจะเป่าให้หายเหนื่อย ขอโอกาสเน้อครับ” 
  เขาว่าแล้วก็เริ่มเป่าให้อีกรอบไล่ลงจากหัวจนถึงปลายเท้า กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ๓ รอ
 ก็บอกว่า “เอาล่ะท่านเอ๊ย ให้อดทนเน้อ บุพพกรรมมาถึงแล้ว ไม่เป็นไรหรอก สักพักคงจะหายเหนื่อย”
  เขาเป่าไปทั่วหมด เย็นๆ เบา เป่าไปถึงไหนมีกำลังเรี่ยวแรงไปถึงนั่น แล้วเขาก็ให้เราลุกขึ้น
  เราก็ว่า “ ดีแล้ว หายแล้ว สบายแล้ว คงจะนอนสลบอยู่ตรงนี้ เพราะเหนื่อยมาก หน้ามืดตาลาย ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวันแล้ว”
  “ท่านจะไปไหน ? ”
  “ตั้งใจจะไปป่าเมี่ยงแม่สม เลยหลงทางขึ้นๆ ลงๆ หลายดอยมาแล้ว แต่เช้า”
  “โอ... ดีล่ะผมก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน ขอเอาของๆ ท่านมาให้ผมช่วยถือ ทั้งบาตร ทั้งย่าม ทั้งกลด ตัวท่านให้ถือเอาแต่ไม้เท้า ค่อยๆ เดินตามผมก็ได้”
  เราก็เอาบริขารให้เขาไป ถือเอาผ้าอาบน้ำผืนเดียวคลุมไหล่เดินตามเขาไป
   เดินไปไม่ช้าไม่เร็ว แต่ก็ไม่พอที่จะทันเขาได้ ในใจก็ว่าจะพูดคุยนั่นนี่อยู่ เราจ้ำเดินให้ทันตัวเขาก็เดินไวขึ้น เราเดินช้าเขาก็เดินช้า ระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล จะคุยกันก็ไม่สะดวก
   จึงได้กำหนด “พุทโธ” เดินตามไป ทีนี้ไม่สนใจกับเขา กำหนดจิตอยู่รู้อยู่ตลอด สักพักมีความรู้สึกวูบวาบๆ ในจิต ยังตั้งตัวไม่ทันว่าอะไรเป็นอะไร ก็มาถึงทางแยก
  “ถึงทางแยกแล้วล่ะท่านเอย ผมเองมีธุระจะไปทางปลายห้วยน้ำแม่สมนี้ บ้านแม่สมให้ท่านเดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”
  ว่าแล้วเขาก็ประเคนบาตร ประเคนย่ามให้คืน เราก็ให้พรแก่เขา เราก็นั่งพักอยู่ตรงนั้นมองดูชายหนุ่มคนนั้นอยู่
  แต่พอเราเผลอเขาก็เดินไปได้ไกลแล้ว พอเขาเลยต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไปเท่านั้นก็ไม่เห็นเดินต่อไปอีก
   เราก็รีบลุกด่วนไปดูว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นอยู่หรือ เมื่อไปถึงต้นไม้นั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร รอยเท้าที่เดินไปตามทางเดินก็ไม่มี
  เรื่องแปลกประหลาดวันนี้ก็เรื่องของหนุ่มน้อยคนนี้ เรื่องของบุพพกรรมของตัวเอง จึงเดินกลับคืน เดินตามทางไปสู่ป่าเมี่ยงแม่สม ตะวันค่ำมืดพอดี พวกญาติโยมเขาเห็นแล้วเขาก็ด่วนมารับบริขารทันที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น