วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

กายนคร : พระอุบาลีคุณูปมาจารย์


กายนคร

(เรียบเรียงตั้งแต่ยังเป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี ตรวจพิมพ์ใหม่ 
เมื่อเป็นพระโพธิวงศาจารย์ พ.ศ. ๒๔๖๘)
กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา
นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา
โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน
ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยาติ.

..........บัดนี้
จะรับประทานวิสัชนาพระธรรมเทศนาในพุทธภาษิต ซึ่งมีมาในคัมภีร์พระธรรมบท 
เพื่อให้สำเร็จประโยชน์การฟังธรรม แด่พุทธบริษัทตามสมควรแก่อารัพภสมัย 
เนื้อความตามพุทธภาษิต ซึ่งได้ยกขึ้นเป็นอุเทศนั้นว่า
 “กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา” 
บุคคลพึงรู้แจ้งซึ่งสกลกายของตนนี้ว่า เป็นของไม่คงทนสักปานใดเปรียบด้วยภาชนะ คือหม้ออันบุคคลทำขึ้นด้วยดินเหนียวฉะนั้น


อธิบายว่า ธรรมดาภาชนะอันบุคคลทำขึ้นด้วยดินเหนียว จะเล็กใหญ่สุกดิบตื้นลึกหนาบางขนาดไหนไม่ว่า 
ย่อมจะมีความแตกความทำลายเป็นที่สุดฉันใด ถึงแม้สกลกายซึ่งนิยมว่าเป็นของ ๆ เรานี้ จะเล็กใหญ่ อ้วน ผอม สูง

ต่ำ ดำ ขาว ปึกแผ่น แน่นหนา หรือบอบบางประการใดก็ตาม คงจะมีความแตกความทำลายเป็นที่สุดฉันนั้น
“นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา” 
แล้วพึงตั้งจิตนี้ไว้ภายในสกลกาย อันประกอบด้วยทวารทั้ง ๙
ซึ่งมีอาการควรเปรียบด้วยพระนครอันมั่นคงพรักพร้อมด้วยประตูหอรบครบบริบูรณ์สมควรจะรับข้าศึกได้ 

อธิบายว่า เจ้าผู้ครองนครก็ดี แม่ทัพก็ดี เมื่อได้พระนครอันมั่นคง พร้อมด้วยค่ายคูประตูหอรบเช่นนั้น
เมื่อมีข้าศึกปัจจามิตรมาติดพระนคร ก็ควรออกรบกับข้าศึก 
ถ้าเสียท่วงทีแก่ข้าศึกลง ก็ให้กลับเข้าพระนครรักษาประตูหอรบไว้ให้มั่นคง แล้วเข้าพักผ่อน
ทแกล้วทหารบำรุงกำลังสุรโยธาให้บริบูรณ์ขึ้นเต็มที่แล้ว ก็ให้ออกรบบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ข้าศึกมีกำลัง 
เมื่อมีชัยได้แว่นแคว้นของปรปักษ์แล้ว ก็ให้ตั้งกองรักษาไว้อย่าให้เสียท่วงทีได้ และอย่ายินดีอยู่แต่เพียงเท่านั้น
ให้เร่งรีบรบชิงชัย จนได้ตลอดอาณาจักรของปัจจามิตร

ข้ออุปมาอันนี้แลมีฉันใด พระโยคาวจรผู้เห็นโทษในวัฏสงสาร เมื่อได้สกลกายบริบูรณ์พรักพร้อม
ด้วยทวารทั้ง ๖ มีจักษุทวารเป็นต้น อันพ้นเสียแล้วจากพิบัติ คือใบ้บ้าบอดหนวก ชื่อว่าเป็นอันได้พระนครอันดี
“โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน” 
เมื่อเห็นว่าตนได้พระนครอันดีเช่นนั้น ก็พึงตั้งหน้ารบกับด้วยมารกิเลส ด้วยอาวุธคือวิปัสสนาญาณ
เมื่อเห็นว่ากิเลสมีกำลังกล้าสู้ไม่ไหว ก็ให้เข้าภายในพระนครพักผ่อนบำรุงตรุณวิปัสสนา คือสมาธิจิตให้มีกำลังกล้า แล้วออกรบบ่อย ๆ
“ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา” 
เมื่อรบชนะได้เพียงใดก็ให้ตั้งสังวรอินทรีย์ รักษาไว้อย่าให้เสียแก่ข้าศึกอีก แต่อย่ายินดีอยู่แต่เพียงเท่านั้น
ข้อสำคัญคือพระนิพพานเป็นสถานะอันข้าศึกรักษาอยู่โดยรอบ ชื่อว่าอาณาเขตแห่งปรปักษ์ 
เราจะต้องตั้งใจหักเอาให้จงได้ จึงจะเป็นผู้พ้นภัย มีชัยชนะไม่มีข้าศึกที่จะต่อต้าน 
ปานประหนึ่งว่าบรมจักรพรรดิราช มีอุปไมยเช่นเดียวกันกับสุรโยธาอันชนะอาณาจักรของปรปักษ์เช่นนั้น

..........บัดนี้ จักอธิบายที่ว่ากายนคร ซึ่งว่ามีข้าศึกตั้งอยู่โดยรอบ ข้าศึกนั้นใช่อื่น ได้แก่อุปกิเลส ซึ่งเข้าทำใจให้ขุ่นมัว ๑๖ ประการ คือ 

โมโห ความหลงไม่รู้จักดีและชั่ว ๑
อหิริกํ ความไม่ละอายต่อกรรมอันเป็นบาป ๑
อโนตฺตปฺปํ ความไม่สะดุ้งหวาดเสียวต่อกรรมอันเป็นบาป ๑
โลโภ ความละโมบเพ่งอยากได้พัสดุของท่านผู้อื่น ๑
ทิฏฺฐิ ความเห็นวิปลาสผิดจากทางชอบธรรม ๑
มาโน ความถือตนว่าตนดีกว่าผู้อื่น ๑
อิสฺสา ความริษยาไม่อยากให้ผู้อื่นดีกว่าตน ๑
มจฺฉริยํ ความตระหนี่หวงแหนวัตถุ ซึ่งเป็นของมีอยู่แห่งตนเกินประมาณ ๑
กุกฺกุจฺจํ ความรำคาญใจ ๑
ถีนํ ความง่วงเหงา ๑
มิทฺธํ ความหลับ ๑
วิจิกิจฺฉา ความไม่แน่ใจ ๑
มกฺโข ความกลบเกลื่อนคุณของท่าน ๑
ปลาโส ความอวดตน ๑
มายา ความล่อลวงเขา ๑
สาเถยฺยํ ความปิดโทษของตน ๑ เหล่านี้

หรือจะชี้ อกุศลเจตสิก ๑๔ ก็มีอาการดุจเดียวกันชื่อว่ากิเลสมารทั้งสิ้น
เพราะอกุศลธรรมเหล่านี้ เมื่อเข้าสัมปยุตกับจิตผู้ใดแล้ว ย่อมทำจิตให้เศร้าหมองขุ่นมัว 
เมื่อสงบไม่ได้เพียงจิตแล้ว ก็จะซ่านออกมาภายนอก ทำให้กายวิการบ้าง วจีวิการบ้าง 
แสดงให้โลกเห็นว่าประพฤติตนไม่สมควร จะต้องได้รับโทษต่าง ๆ อย่างต่ำที่สุดมีครหานินทาติเตียน เป็นต้น 
อย่างสูงได้รับราชทัณฑ์มีจำคุกและประหารชีวิตเป็นต้น อาจจักทำบุคคลผู้ลุอำนาจของตนให้เสียหายได้อย่างนี้ จึงชื่อว่า มาโรมาร

กิเลสมารเหล่านี้จะว่าเป็นของมีอยู่ประจำตนทีเดียวก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีในตนทีเดียวก็ไม่ชอบ 
เมื่อจะเกิดต้องอาศัยเหตุ คือ ผัสสะ มีอวิชชาเป็นปัจจัย ส่วนผัสสะนั้น ถ้ามีวิชชาเป็นปัจจัยก็ไม่เกิดอกุศลเจตสิกเหล่านั้นได้ 
เพราะเหตุนั้นถึงท่านผู้ชำนะมารได้แล้วทั้งหลาย ผัสสะทั้ง ๖ มีจักขุสัมผัสเป็นต้นยังมี แต่ว่าวิชชาเป็นปัจจัยเสียแล้ว
อกุศลเจตสิกจะเข้าสัมปยุตกับจิตของท่านไม่ได้ จิตของท่านจึงผ่องใสอยู่เสมอ 
ผู้ตั้งใจจะรักษากายนครให้ราบคาบอยู่เย็นเป็นสุข ก็จะต้องตั้งหน้ารบข้าศึก คือมารกิเลสเหล่านี้ ไม่ให้เข้าอาศัยพระนครได้

วิธีรบนั้นก็ไม่ยาก คือให้ปราบพลมารชั้นต่ำชั้นเลวด้วยอาวุธคือศีล
ให้ปราบพลมารชั้นกลางด้วยอาวุธ คือสมาธิ
ให้ปราบจอมพลของมารคือตัวอุปธิด้วยอาวุธคือปัญญา 
สนามรบ ก็คือประตูพระนครทั้ง ๖ แห่ง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เอง 
การจะยิงอาวุธทั้ง ๓ ประเภทนั้น ก็เล็งศูนย์ให้ตรง
คือตัวสติสัมปชัญญะ อย่าให้เสียลูกและดินเปล่า คือความไม่แน่นอน เท่านี้ก็จะชนะข้าศึก คือ มารกิเลสได้
เพราะกิเลสเหล่านี้มีกำลังอันน้อยสู้พระอริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ ถ้า
จะเทียบอีกชั้นหนึ่ง มารกิเลสนี้เท่ากับพวกปล้นก็ว่าได้ เพราะมันข่มเหงได้แต่ชั้นพวกที่โง่เขลาปราศจากสติเท่านั้น 
ถ้าไปถึงท่านที่มีสติสัมปชัญญะแล้วมันก็ไม่มีอำนาจอะไร

.........ยังมีข้าศึกอีกประเภทหนึ่ง อันพวกเราจะพึงน่าวิตกอย่างยิ่ง คือ 
ชาติ ความเกิด ชรา ความแก่ พยาธิ ความป่วยไข้ มรณะ ความตาย ข้าศึก ๔ กองนี้เท่ากับแวดล้อมเราอยู่โดยรอบ 

นักปราชญ์ทั้งหลายในโลกซึ่งนิยมกันว่า ผู้มีปัญญาแท้จริงมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน 
ที่จะหลีกออกจากเคหะสถานละสุขสมบัติกามารมณ์ประพฤติพรตพรหมจรรย์เสียได้ 
ก็เพราะเห็นโทษว่าตนตกอยู่ในที่ล้อมแห่งข้าศึกทั้ง๔ กองเหล่านี้

ถ้าเราเพ่งดูความจริงให้ชัดใจแล้ว ก็จะเห็นชาติความเกิดเป็นตัวทุกข์ 
เพราะเป็นฐานที่ตั้งแห่งความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย และความเศร้าโศก คร่ำครวญ ทนยาก ลำบาก คับแค้น อัดอั้นตันใจ 
เต็มไปอยู่ในโลกทุกวันนี้ ก็เพราะชาติทุกข์นี้เองเป็นเหตุ

ชราความแก่
นี้เล่าก็เป็นตัวทุกข์สำคัญส่วนหนึ่ง เพราะความแก่เจริญหนักขึ้น ก็แสดงกายวิการต่าง ๆ คือตามืด หูหนัก ฟันหัก แก้มตอบ
มีกำลังอันทุพพลภาพจะประกอบกิจการงานใด ๆ ย่อมข้องขัดตัดความต้องการเสียทั่วไปได้รับทุกข์ โทมนัส อุปายาส ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เพราะชราทุกข์เป็นเหตุ

..........ส่วนพยาธิความป่วยไข้นี้เล่า ก็เป็นตัวทุกข์สำคัญอีกโสดหนึ่ง เพราะทุกขเวทนาที่
จะปรากฏขึ้นในสกลกาย มีปวดหัวเจ็บท้องและร้อนหนาวเป็นต้น ได้รับทุกข์โทมนัสอุปายาสต่างๆ ก็เพราะพยาธิความป่วยไข้เป็นต้นเหตุ

ส่วนมรณะความตายนั้นเล่าก็เป็นตัวทุกข์สำคัญอีกโสดหนึ่งเหมือนกัน
เพราะชีวิตร่างกายจิตใจเป็นของรัก ความเป็นอยู่ได้เสมอไป ย่อมเป็นที่พอใจทั่วกัน ความตายเป็นสิ่งที่ไม่พอใจอย่างเอก 
เพราะสิ่งที่ไม่พอใจมามีขึ้น ก็เป็นหน้าที่จะต้องทุกข์โทมนัสคับแค้นใจอยู่เอง เพราะเหตุนั้น มรณะคือความตายจึงเป็นตัวทุกข์ส่วนหนึ่ง ดังนี้

..........ถ้าจะว่าไปตามความเป็นจริง ทุกข์ทั้ง ๔ กองนี้ ต้องนับว่าเป็นของมรดกตกมาแต่บิดามารดาตรงทีเดียว

ความจริงบิดามารดาท่านก็ไม่ชอบ ท่านชอบแต่เกิดเท่านั้น ส่วนแก่ ไข้ เจ็บ ตาย ท่านเกลียดที่สุด 
แต่ไฉนจึงต้องมอบให้แก่เราด้วย น่าพิศวงนักหนา ถ้าจะว่าท่านรักเราที่สุดก็ชอบ เพราะท่านทำนุบำรุงเลี้ยงดูเรามาอย่างประณีตที่สุด
ถ้าจะว่าท่านเกลียดเราที่สุดก็ชอบ เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าความแก่ไข้เจ็บตายมีมาเพราะความเกิด
ต่างว่าบุรุษคนหนึ่งเป็นขี้เรื้อนกุฏฐัง รู้อยู่ว่าถ้าเรามีภรรยาเกิดบุตรขึ้น ก็คงจะเป็นขี้เรื้อนกุฏฐังเช่นตัวเราเป็นแน่
เราทนวิบากรับผลของกรรมจำเพาะแต่ตัวคนเดียวให้สิ้นเรื่องไปดีกว่า อย่าให้โรคนี้ไปติดต่อ
กับบุตรอีกเลย คิดอย่างนี้สู้ทนไม่มีภรรยา ไม่ให้โรคนั้นติดต่อได้ ถ้าเช่นนั้นควรชมได้ว่าเป็นผู้คิดชอบมิใช่หรือ

ก็โรคคือ ความแก่ ไข้ เจ็บ ตาย นี้ จะมิร้ายกว่าโรคกุฏฐังอีกหรือ จะว่าบิดามารดาโง่หรือฉลาดก็ตามใจ 
ว่าแต่จำเพาะตัวของเราดีกว่าคือว่าเราจะยอมให้มรดกอันชั่วร้าย ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แก่บุตรหรือไม่ 
เพราะส่วนบิดามารดาเป็นอดีตเสียแล้ว ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ แต่ส่วนตัวของเราเป็นปัจจุบันมีทางจะแก้ได้
ข้อนี้ควรผู้มีปัญญาจะพึงตรึกตรองหรือจะเป็นไปว่า ถ้าพร้อมใจกันไม่มีสามีภรรยาเสียด้วยกันหมด จะได้ใครสืบประเพณีต่อไปเล่า 
ข้อนี้ไม่ควรปรารภจะไปตรงกับสุภาษิตโบราณว่า “เกี่ยวหญ้ามุงทุ่ง”

นักปราชญ์ทั้งหลายผู้เห็นภัยในวัฏฏะท่านย่อมคิดจำเพาะตนเท่านั้น ถึงแม้โลกเขาร้องไห้เศร้าโศกทั่วไป 
ท่านไม่ยอมร้องไห้เศร้าโศกคนเดียวก็แต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้เองเป็นตัววัฏทุกข์ บัดนี้เราชื่อว่าถูกล้อมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ 
ก็ความเกิดเป็นเบื้องต้นเราเกิดมาเสียแล้ว ความตายเป็นเบื้องปลาย ความแก่ ความป่วยไข้ แนบอยู่สองข้าง
เราจะออกทางไหน ท่านทั้งหลายผู้เห็นโทษแห่งวัฏทุกข์นี้ ต่างคนต่างคิดหาทางออก จึงเกิดมีความเห็นต่าง ๆ กัน

พวกหนึ่งชื่อว่าสัสสตาสยะ เห็นว่าความเกิดเป็นของเที่ยงเคยเกิดเป็นอะไรก็จะต้องเกิดเป็นสิ่งนั้นร่ำไป แต่ตัวก็ไม่พ้นตาย
อีกพวกหนึ่งชื่อว่าอุจเฉทาสยะ เห็นว่าตายแล้วสูญ ความรู้ความคิดที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เป็นแสงของดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประชุมกันอยู่นี้เท่านั้น 
ถ้าธาตุทั้ง ๔ แตกจากกันเสียแล้ว ความรู้ความคิดก็ดับไปหมด ชื่อว่าอุจเฉททิฏฐิ แต่ตัวก็จะต้องตาย

อีกพวกหนึ่งชื่อว่า อนุโลมิกขันตยาสยะ มีความเห็นไม่แน่นอนตามเขาไปอย่างนั้นเอง จะเห็นว่าตายแล้ว
ต้องเกิดอีกก็ไม่แน่ จะเห็นว่าตายแล้วสูญไปก็ไม่แน่อดทนไปตามเขาอย่างนั้นเอง ชื่อว่าอนุโลมิกทิฏฐิแต่ตัวก็จะต้องตาย
เจ้าทิฏฐิทั้ง ๓ นี้ออกจากที่ล้อมไม่ได้ต้องยอมตายชื่อว่าตายในที่ล้อม ตายในห่วง ตายในสมมติ จึงชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ


อีกพวกหนึ่งชื่อว่า ยถาภูตญาณาสยะ มีความเห็นตามความเป็นจริง อย่างไร คือในเบื้องต้นเมื่ออวิชชาเป็นปัจจัย เห็นว่าความเกิดเป็นอดีต 

คือเกิดมาเสียแล้วส่วนความแก่ ความป่วยไข้ ความตายนั้น เป็นอนาคต คือยังไม่มาถึงตัวซึ่งไม่มีเกิด แก่ ป่วย ไข้ เจ็บ ตายนี้เป็นปัจจุบันจึงเป็นที่ตั้งแห่งตัณหา ๓ 
ความเกิดซึ่งเป็นอดีตเป็นกามตัณหา ตัวที่เป็นปัจจุบันซึ่งไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้เป็นภวตัณหา ความแก่ไข้เจ็บตายซึ่งเป็นอนาคตนั้นเป็นวิภวตัณหา
เมื่อตรองได้ความชัดว่า ตัวของเราตกอยู่ในอำนาจของตัณหาทั้ง ๓ แน่นอน ตัณหาทั้ง ๓ นี้ ท่านให้ชื่อว่า สมุทัยอริยสัจ 
เพราะไม่รู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นตัวสมุทัยนี้เอง เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงกลายเป็นทุกขอริยสัจขึ้น

เมื่อตรวจตรองจนรู้จักหน้าตาของทุกข์และสมุทัยจนชัดใจแล้วก็จะต้องค้นหาทางละทางวาง หาทางปล่อย หาทางออกจากตัณหานั้น
จะละจะวางจะปล่อยจะออกทางไหน โบราณท่านว่าขึ้นต้นไม้สุดยอดแล้วจะไปทางใด ก็ได้ความว่า ขึ้นทางใดก็ต้องลงทางนั้น มาทางใดก็ต้องกลับทางนั้น
อันตัวของเรานี้มาทางเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฉะนี้แล้วจะออกทางอื่นไม่ได้ ต้องออกทาง เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เองจึงจะตรงเมื่อความแน่นอนเกิดขึ้นแก่ใจฉะนี้แล้ว 
จะต้องตรวจดูความเกิด คำที่ว่าชาติความเกิดนี้ จะหมายความเอาเป็นแน่ลงในเวลาใด ทำไมจึงจะขีดลงได้ว่านี่แหละชื่อว่าชาติความเกิด
เมื่อไม่เข้าใจ ให้ระลึกถึงปฏิจจสมุปบาทธรรมที่ว่า “ภวปจฺจยา ชาติ” ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติดังนี้
คำที่ว่าภพนั้นก็คือ ความเป็นความมีแห่งสกลกายอันนี้เอง เมื่อสกลกายมีอยู่ก็ชื่อว่ามีภพ เมื่อมีภพเป็นแดนเกิดอยู่แล้ว ชาติก็ต้องหมายเอาที่ภพนี้เอง 
ก็จะเห็นได้ว่าเราเป็นตัวภพตัวชาติ เมื่อภพปรากฏอยู่เพียงใดชาติก็ย่อมปรากฏอยู่เพียงนั้น 
ที่เราบริโภคอาหารหรือผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นต้น ก็คือบำรุงชาติความเกิดนั้นเอง ก็จะเห็นได้ว่าเราเกิดอยู่เสมอทุกขณะลมหายใจเข้าออก 
เมื่อชาติความเกิดที่เป็นปัจจุบันซึ่งเป็นของจริงนี้ปรากฏชัดขึ้นแก่ใจของเราได้ในกาลใด 
ชาติความเกิดที่เป็นอดีต ซึ่งตนเคยเข้าใจมาแต่ก่อนนั้นก็จะดับไปในกาลนั้น 
เมื่อเห็นชาติความเกิดซึ่งเป็นปัจจุบันโดยชัดเจนได้แล้ว 
ก็จะเห็นชราความแก่ พยาธิ ความป่วยไข้ มรณะความตายซึ่งเป็นปัจจุบัน อยู่ด้วยกันมีด้วยกัน พลัดพรากจากกันไม่ได้ 
เมื่อความเห็นอันนี้ชัดใจแล้ว ส่วนชรา พยาธิ มรณะ ซึ่งเคยเข้าใจว่าเป็นอนาคตนั้นก็จะดับไป ยังเหลืออยู่แต่ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ซึ่งเป็นปัจจุบันเป็นตัวมรรค

อาการที่เห็นว่าชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เป็นอดีตบ้าง เป็นอนาคตบ้าง 
และเห็นตัวของเราเป็นปัจจุบัน ว่างจากชาติชราพยาธิมรณะด้วยนั้นแล เป็นทุกข์ด้วยเป็นสมุทัยด้วย 
อาการที่เห็นชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เป็นปัจจุบันธรรม คือเป็นตัวเรา หรือตัวเราเป็นชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ตรงทีเดียว นั่นแลเป็นนิโรธด้วย เป็นมรรคด้วย

เมื่อมรรคภาวนาอันโยคาวจรเจ้าเจริญให้เกิดให้มีขึ้นเต็มที่ เป็นสีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ ขึ้นได้ในกาลใด 
ญาณทัสสนะเป็นเครื่องวินิจฉัยว่านี่โลก นี่ธรรม นี่สมมติ นี่บัญญัติ ก็จะปรากฏขึ้นแก่โยคาวจรเจ้าในกาลนั้น คือบรรลุวิมุตติธรรมนั้นเอง 
ชื่อว่าท่านออกจากชาติชราพยาธิมรณะได้โดยดี ด้วยวิชชาและวิมุตติ

ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านจึงมีนามว่า เขมี ผู้เกษมจากโยคะ, อเวรี ผู้หาเวรมิได้, อภโย ผู้หาภัยมิได้, 
ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ” นักปราชญ์ในโลกจึงให้เกียรติคุณแก่ท่านจำพวกนั้นว่าบัณฑิต ๆ ดังนี้

ท่านจำพวกนี้ ชื่อว่า ยถาภูตญาณาสยะ คือออกจากที่ล้อมแห่งข้าศึกด้วยญาณทัสสนะ คือตัวยถาภูตญาณ เป็นผู้ออกตัวได้ ไม่ยอมตายในสมมติ
เพราะเหตุฉะนั้น จึงเป็นผู้สมควรนักหนา อันพวกเราทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทจะพึงดำเนินตาม แต่พึงเข้าใจว่าทางหนีทางสู้เหล่านี้จะปรากฏขึ้นได้
ต้องอาศัยกิจจญาณ คือปฏิบัติ ตัวภาเวตัพพธรรมเป็นมรรคภาวนา ได้แก่การทำให้พระอัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ขึ้นเต็มที่แก่ตนเป็นข้อสำคัญ
..........ได้บรรยายในพุทธภาษิตคาถาแสดงกายนครตามพุทธภาษิตและอัตโนมัตยาธิบายพอเป็นทางแห่งความดำริ 
แก่พุทธบริษัทโดยสังขิตนัยด้วยประการฉะนี้.
................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น