หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

ธรรมดา แห่ง ธรรม

ความสวยงาม.. เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้!!

ธรรมดาร่างกายของคนเรา มีส่วนประกอบหลักๆคือ ส่วนที่แข็ง(ธาตุดิน)และส่วนที่อ่อน(ธาตุน้ำ) มีอากาศ(ธาตุลม)แทรกอยู่ภายในซึ่งต้องใช้พลังงาน(ธาตุไฟ)ในการเคลื่อนไหว..

ฉะนั้น โบราณจารย์จึงสรุปว่า คนประกอบไปด้วย ธาตุ๔ มาประชุมกันกลายเป็นรูปร่างกาย ซึ่งถูกสร้างสรรปั้นแต่งให้เห็นเป็นลักษณะต่างๆตามกรรมที่สะสมมาในอดีต เช่น คนเคยรักษาศีลมาดี รูปร่างกายก็จะดูงดงาม คนที่ผิวพรรณดี เพราะเคยบริจาคสิ่งของที่ปราณีต เป็นต้น

หากคนเรามีแต่รูปร่างกายภายนอกเท่านั้น ก็คงเป็นคนยังไม่สมบูรณ์ ต้องมีจิตใจภายในด้วยจึงจะครบอาการ อาการของจิต ก็เป็นนามธรรมอยู่ภายใน ประกอบไปด้วย

..ความรู้สึก สุข ทุกข์ ร้อน หนาวต่างๆ มักเรียกกันว่า "เวทนา"

..ความจำ ที่ทำให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไร เรียกว่า "สัญญา"

..ความนึกคิด ที่มักเอาอะไรต่ออะไร มาปรุงแต่งไปต่างๆนานา เรียก"สังขาร"

..สะพานเชื่อมระหว่างกายกับจิต ทำให้จิตใจรับสิ่งต่างๆที่เกิดจากร่างกายภายนอกได้ เรียกว่า "วิญญาณ"

เมื่ออธิบายเช่นนี้ ก็ครบองค์แห่งขันธ์๕ แล้วว่า เป็นสิ่งที่จิตใจของเรามักเอามายึดถือว่า คือตัวเรา มีผมก็ว่าเป็นของเรา มีเสื้อผ้า ก็ว่าเป็นของเรา

เมื่อเรามีปกติเห็นอยู่เช่นนี้ ย่อมไม่เป็นสัมมาทิฎฐิ เพราะไม่รู้จักอริยสัจ

คนเข้าวัดสวดมนต์ย่อมต้องเคยท่องว่า "สังขิเตนะ ปัญจุปาทานะขันธา ทุกขา"

แปลว่า ว่าโดยย่อ การยึดขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์

.....

เห็นใครหลายๆคน ถ่ายรูปตนเองลงให้ผู้อื่นเห็นแล้ว มาพิจารณาดูก็คิดว่า จะขอกล่าวแต่ผู้พอมีปัญญาไตร่ตรองหลักธรรมได้เท่านั้น ส่วนผู้มองไม่ถึงธรรมก็ต้องปล่อยตามใจเขาฯ

ถ้าจะมองให้ชัดแล้ว ความสวยงามของคนก็สวยงามไปตามวัยจริงๆ สวยตามสมมุติโลก เช่น ภูเขา ทะเล ธรรมชาติต่างๆ ที่สวยงาม ก็ประกอบไปด้วย ดิน หิน น้ำ โคลน ทราย ต้นไม้ ลม แดด ต่างๆเท่านั้น เอามาจัดเรียงตามธรรมชาติให้พอเหมาะแก่ความสวยที่โลกสมมุติขึ้น เช่น ทะเล ก็คือน้ำ มีแสงแดดที่พอเหมาะทำให้เกิดสีสรร มีหาดทรายราบเรียบไม่ทำให้น้ำทะเลขุ่น แค่นี้ คนก็นิยมตามสมมุติว่าสวยแล้ว

หันกลับมามองที่ตัวของเราดูก็จะเห็นว่า ร่างกาย ใบหน้าของเราก็ประกอบไปด้วยธาติดิน เอามาปั้นแต่ง ให้เกิดความโค้งว้าว เกิดรูปทรงที่แตกต่างไปเพียงนั้น

ถ้าไม่พิจารณาให้ลึก ก็จะเห็นว่า นี่หน้าของเรา แม้มันจะไปอยู่ในกระจก หรือ อยู่ในกล้องโทรศัพท์ จิตถ้าได้กระทบภาพมาจากทางตา ก็จะยึดเอาว่านี่คือเรา เห็นว่า เราสวยก็พอใจ ยินดี โดยส่วนลึกมักไม่ทันอุปาทานในจิตของตน

แม้นว่ามีใครมาตำหนิว่า ไม่ดี ไม่งาม จิตก็กลับไปอีกด้าน คือ ไม่พอใจอีก...

พิจารณาไตร่ตรองตามที่อาตมากล่าวมาให้ดีเน้อ!... อย่ามาว่าอาตมาติเตียนใครๆเลย แค่อยากให้มองให้เห็นจิตขอวตนเอง เท่านั้นแลฯ

.....

เกิด แก่ เจ็บ ตาย... เป็นของคู่โลก!

...คนเราเมื่อยามเกิดขึ้นมาดูโลก ญาติพี่น้องพ่อแม่ ล้วนแต่มาแสดงความยินดีพอใจกันจนเป็นธรรมเนียม!

...ยามเด็กเจริญวัยขึ้น ก็ชื่นชม แต่ยามสูงวัย กลับรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจ ทั้งๆที่ เวลาก็ใช้เท่ากันในวันหนึ่งๆ จะว่าตรงๆก็คือ คนทุกคนถูกเวลากลืนกินอายุให้หมดไปสิ้นไปทั้งหมด แต่คนก็มักหลงไปเอง มองไม่เห็นความจริงว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา...

...ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ก็พยายามหาทางหนี หรือหลบเลี่ยงให้ไกลที่สุด มักไม่ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง..

...ยามตาย ส่วนใหญ่ผู้ใกล้ชิดสนิทสนม รักใคร่ ก็ย่อมเศร้าโศกเสียใจ แต่หากผู้ที่เกลียดชังกัน ก็ย่อมสะใจ ชอบใจที่ตนสมใจ...

....

คนใดที่เกิดมาบนโลกนี้ ในช่วงที่มีพระพุทธศาสนาดำรงอยู่ แต่ไม่สนใจเข้ามาศึกษาปฏิบัติ ก็ย่อมเป็นไปตามกระแสโลกที่เป็นกันอยู่อย่างนั้น...

หากแม้บุคคลใดรู้จักคุณค่าแห่งพุทธศาสนา พากันศึกษาเหตุผลตามธรรม และปฏิบัติพัฒนาจิตใจของตน ให้ทวนกระแสแห่งโลกจะเห็นว่า...

การเกิดขึ้นของมนุษย์, การแก่ตัวไปตามกาลเวลาของคนทุกวัย, การเจ็บป่วยต่างๆ และการตายจากภพของมนุษย์ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งสิ้น แล้วพยายามภาวนาให้จิตของตนไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป เพื่อจะได้ไม่ต้องมีร่างกายจะให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายต่อๆไปอีกเลย!!!

...

พอดี คนที่เคยมาคอยช่วยเหลือที่สำนักฯ มาตายจากไปก่อนวัยอันควร จึงนำธรรมะมาแสดงแทนคำไว้อาลัย เพื่อประโยชน์สำหรับผู้มีปัญญาได้พิจารณาไตร่ตรอง... สาธุฯ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น