หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ของจริงอันประเสริฐ

..อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค นั้น คือสิ่งที่อยู่ในจิตใจแห่งพระอริยะเจ้าทั้งหลาย อย่างเหนือสัญญาขันธ์ คือ ท่านมิได้ทรงจำแค่ว่า อริยสัจจ์มีอะไรบ้าง? หมายถึงอะไร? แต่ว่า อาการทั้งหลายแห่งอริยสัจจ์ มันอยู่ในจิตของท่านอยู่เสมอ ไม่มีทางหลงลืม แต่ยามจะต้องสื่อออกมาอธิบายให้ผู้อื่นทราบ ก็ต้องอาศัย"สัญญา" ดังนั้น จึงอาจจะหลงลืมได้เป็นธรรมดา
เปรียบเช่นว่า เปลวไฟ เรารู้ว่าร้อน เพราะเคยสัมผัสมา ส่วนที่จำได้ว่าจะสื่อออกมา อาจจะลืมได้ แต่ ส่วนที่รู้อยู่ในใจ มันไม่ลืม เพราะจิตมันรู้อย่างชัดเจน!
เช่นนี้แหละ พระอริยะเจ้า เมื่อประสบความทุกข์ ที่เกิดตามทุกข์ในอริยสัจจ์ คือ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า เสียใจ พิไรรำพันต่างๆ ก็ทราบชัดว่า เพราะเราไปยึดเอา รูปภายนอกบ้างรูปภายในบ้าง ว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นลูกเรา ว่าเป็นคนที่เรารัก,เป็นคนที่เราชัง ด้วยสัญญา คือ เห็นรูปก็จำได้ว่าเป็นใคร? ถ้าชอบก็เกิดสุขเวทนา ไม่ชอบก็ทุกข์ ไม่รู้จัก,ไม่เกี่ยวข้องก็เฉยๆ
ถ้าเราไม่มีวิญญาณ สิ่งเหล่านี้เราจะรับรู้ได้อย่างไร?
เมื่อรับมาแล้ว ก็ไปปรุงแต่งสร้างเรื่องราวให้เป็นไปต่างๆ คือตกเป็นทาสสังขาร ก็เป็นทุกข์
ถ้ารู้จักทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ไปกับมัน ก็ต้องสาวไปถึงเหตุ คือ ตัณหา ที่ทำให้สังขารเราเป็นทาสมัน ฉะนั้น เมื่อ ละตัณหาได้ ความสงบก็จะแจ้งชัดในจิตใจ เช่นนี้ นิโรธก็ย่อมเกิดในจิตตน
แต่จะละตัณหาได้ ต้องรู้หนทางว่า เราจะต้องรักษาศีล เพื่อป้องกันความเดือดร้อนจากความผิดศีลธรรมก่อน เมื่อหมดความดิ้นรนเดือดร้อนแล้ว จิตจึงจะสงบตั้งมั่นได้ เมื่อจิตตั้งมั่นได้ ก็ใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นทุกข์ของแท้ ไม่ใช่ดิ้นรนไปกับมันจนไม่รู้จัก แต่ก็มักพูดว่า "รู้จัก"
นี่แหละผลของความเจริญตามวงรอบนี้เรื่อยๆ มันก็จะตัดจากหยาบๆไปเป็นขั้นๆ จนในที่สุด จิตก็คลายจากความยึดว่า นี่ลูกเรา นี่เรา ต่างๆ
แต่ก็อยู่ในสมมุติโลก ที่เกี่ยวข้องกันไปตามหน้าที่ ต้องสงเคราะห์ตามควรกระทำไปอย่างที่ควรเท่านั้น!!!
นี่คือสิ่งที่พระอริยะเจ้าทั้งหลาย จะพึงดำเนินไปตามธรรม แลฯ
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น