หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

นางอุตตรา

นางอุตตรา นันทมารดา เอคทัคคะผู้เพ่งด้วยด้วยฌาณ
นางอุตตรา เกิดเป็นลูกสาวของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนรับใช้อยู่ในเรือนของสมุนเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์
เขาเป็นคนขยันทำงาน แม้ในวันนักขัตฤกษ์นายปุณณะก็ยังไปทำการไถนาตามหน้าที่ของตนปกติ ขณะที่เขากำลังไถนาอยู่นั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วได้ถือบาตรผ่านมายังทุ่งนาที่นาปุณณะกำลังไถอยู่นั้นนายปุณณะพอเห็นพระเถระ ก็หยุดไถแล้วเข้าไปกราบแล้วถวายน้ำบ้วนปากและไม้สีฟัน พระเถระทำกิจสีฟันและบ้วนปากเสร็จแล้วจึงเดิน ภิกขาจารต่อไป นายปุณณะคิดว่า “เหตุที่พระเถระมาทางนี้ในวันนี้ก็คงจะมาสงเคราะห์เรา ถ้าภริยาของเราได้พบพระเถระแล้ว ขอให้นางได้ใสอาหารที่นำมาให้เราลงในบาตรของพระเถระด้วยเถิด” ส่วนภริยาของเขาเมื่อนำอาหารไปส่ง ระหว่างทางได้พบ พระเถระจึงคิดว่า “วันอื่นๆ เราพบพระเถระแต่ไทยธรรมเรา ไม่มีแต่วันนี้ทั้งสองอย่างของเรามีพร้อมแล้ว เราควรถวายอาหารแก่พระเถระก่อนแล้วจึงกลับไปทำมาใหม่” เมื่อนางถวายอาหารแก่พระเถระแล้ว ก็รีบกลับบ้านเพื่อจัดอาหารมาให้สามีของตน นายปุณณะไถนาเรื่อยไปจนเวลาสาย ภริยาก็ยังไม่นำอาหารมาส่ง เมื่อภริยามาถึงก็เกรงว่าสามีจะโกรธ จึงพูดกับสามีว่า “ท่านพี่อย่าเพิ่งโกรธ ฟังดิฉันก่อน” แล้วนางก็เล่าเหตุที่มาช้าให้สามีฟัง “เธอทำดีแล้ว” นายปุณณะกล่าวและทั้งสองสามีภรรยานั้นก็อิ่มเอิบใจ ในการกระทำของตน นายปุณณะ กินอาหารเสร็จแล้วก็นอนหลับไปสักสักพักพอตื่นขึ้นมา ก็เห็นก้อนดินที่ตนไถมีสีเหมือนทองคำทั่วท้องนาจึงบอกให้ภรรยาดูด้วย เมื่อภรรยาเห็นเข้าจึงพูดว่า “ท่านคงเหน็ดเหนื่อย และหิวจนตาลาย” แต่เมื่อเขาลุกไปหยิบมาให้ภรรยาดู ทั้งสองต่างก็เห็นเป็นทอง
คำเหมือนกัน สองสามีภรรยาเก็บทองใส่ถาดแล้วนำไปถวายพระราชา พร้อมทั้งกราบทูลให้ส่งคนไปขนทองคำที่ทุ่งนาของตน ในขณะที่กำลังขนทองคำใส่เกวียนนั้นราชบุตรพากันพูดว่า “บุญของพระราชา” ทันใดนั้นทองคำก็กลายเป็นดินขี้ไถเหมือนเดิม พระราชาจึงรับสั่งว่า “พวกท่านจงไปขนมาใหม่พร้อมกับจงพูดว่า บุญของนายปุณณะ” พวกราชบุรุษทำตามรับสั่ง ก็ปรากฏว่าได้ทองคำมาหลายเล่มเกวียน นำมาที่หน้าพระลานหลวงพระราชารับสั่งถามว่า ใครมีทรัพย์มากเท่านี้บ้าง เมื่อได้สดับว่าไม่มี จึงพระราชทานตำแหน่งเแก่ นายปุณณะนามว่า “ธนเศรษฐี”นายปุณณะ เมื่อทำการมงคลฉลองตำเเหน่งเศรษฐี ได้กราบอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์มาเสวยและฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นเวลา ๗ วัน พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมเทศนาอนุโมทนาทาน นายปุณณะเศรษฐีพร้อมด้วยภริยาและธิดาได้บรรลุโสดาปัตติผล ในกาลต่อมาราชคหเศรษฐี ได้ส่งคนไปสู่ขอนางอุตตราธิดาของนายปุณณะเพื่อทำอาวาหมงคลกับบุตรของตนนายปุณณะไม่ขัดข้องจึงได้จัดพิธีอาวาหมงคลเป็นที่เรียบร้อยนางได้มาอยู่ในตระกูลของสามีเมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษานางกล่าวกับสามีว่า ปกตินางจะอธิษฐานองค์อุโบสถเดือนละ ๘ วัน ขอให้สามีอนุญาต แต่สามีไม่อนุญาต นางจึงส่งข่าวไปถึงบิดามารดาว่า นางถูกส่งตัวไปอยู่ในที่คุมขัง จึงขอให้บิดามารดาช่วยส่งทรัพย์ไปให้นางจำนวน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะด้วยเถิด เมื่อนางได้ทรัพย์ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ก็ได้ไปหานางสิริมา ซึ่ง เป็นหญิงโสเภณี จึงได้ได้เจรจาติดต่อขอให้ช่วยในการบำรุงบำเรอสามีของนางเองเป็นเวลา ๑๕ วัน แล้วมอบทรัพย์ให้นาง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ นางสิริมาตอบ ตกลงและสามีของนางก็พอใจจึงอนุญาตให้นางอธิษฐานองค์อุโบสถได้ในวันสุดท้ายของการรักษาอุโบสถ ขณะ ที่กำลังขวนขวายจัด ภัตตาหารอยู่สามีของนางกับนางสิริมายืนดูอยู่พลางคิดว่า “นางอุตตราหญิงโง่คนนี้ คงเกิด มาจากสัตว์นรก ชอบทำการงานสกปรก ทรัพย์สมบัติก็มีอยู่มากมายแต่กลับไม่ยินดี”แล้ว ก็แสดง อาการเยาะเย้ย นางอุตตรามองเห็นนางสิริมาตั้งแต่เดินลงมาจากเรือนจนมุ่ง มาที่นาง จึงแผ่เมตตาจิตไปสู่ นางสิริมา ว่า “หญิงผู้นี้มีคุณต่อเราอย่างมาก เราได้อาศัยนางจึงมีโอกาสทำบุญถวายทานและฟังธรรมโดยทุกวันตลอดมาหากประมาณคุณอันยิ่งใหญ่ที่นางมีต่อเรา โดยหาที่เปรียบมิได้หากนาง คิดโกรธเรา และเราไม่โกรธตอบต่อนางถึงนางจะราดรดเราด้วยของร้อน ขอให้เราอย่าร้อนเลยแต่หากเราโกรธนางตอบ ก็จงให้ต้องร้อนตาม ที่นางมุ่งประทุษร้ายเราเถิด” แล้วนางสิริมาได้จับกระบวยตักน้ำมันที่กำลังเดือดเทราดลงบนศีรษะของนางอุตตราที่กำลังเข้าฌาณและแผ่เมตตาจิตอยู่ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌาณ บันดาลให้น้ำมันที่กำลังร้อนปราศจากความร้อน เหล่านางทาสีต่างมีความโกรธเคืองที่นางสิริมาทำร้ายนายหญิงจึงเข้าจับ นางแล้วทุบตีจนนางมาบอบซ้ำทั้งตัว นางอุตตราจึงเข้าห้าม และสั่งให้พวกทาสีพานางไปอาบน้ำ ทายา เพื่อรักษาบาดแผล นางสิริมาเกิดความรู้สึกซาบซึ้งประทับใจนัก จึงกราบลงแทบเท้านางแล้วขอขมาโทษที่ตนล่วงเกินต่อนางเมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์ ประทับบนพุทธอาสน์เพื่อเสวภัตตาหาร ณ ที่บ้านของนางอุตตราในเช้าวันนั้น นางสิริมาได้กราบทูลกิริยาที่ตนกระทำต่อนางอุตตราให้ทรงทราบโดยตลอดแล้ว กราบทูลขอให้ทรงยกโทษให้ จึงตรัสถามนางอุตตราด้วยมีพระพุทธประสงค์จักให้คนทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกันนางอุตตราจึงได้กราบทูลตอบดังที่ตนคิดว่าได้เห็นนางสิริมาตั้งแต่เดินลงมาจากเรือนลำดับจนมุ่งหน้ามาที่นาง จึงแผ่เมตตาจิตไปสู่นางสิริมา ด้วยคิดว่า “หญิงผู้นี้มีคุณต่อเราอย่างมาก เราได้อาศัยนางจึงมีโอกาสทำบุญถวายทานและฟังธรรมโดยสดวกทุกวันตลอดมา หากประมาณคุณอันยิ่งใหญ่ที่นางมีต่อเราหาอะไรเปรียบเทียบมิได้ฉะนั้น หากนางคิดโกรธเคืองเราด้วยเรื่องใดก็ตาม และเราไม่โกรธตอบต่อนาง ถึงนางจะราดรดเราด้วยของร้อน ขอให้เราอย่าต้องร้อนเลย แต่หากเราโกรธนางตอบ ก็จงให้ต้องร้อนเพราะถูกนางราดรดด้วยของร้อน ตามที่นางมุ่งประทุษร้ายเราเถิด ” พระบรมศาสดาจึงตรัสแก่นางอุตราว่า ดีแล้วอุตตรา ดีแล้วที่เธอสามารถชนะตนเอง ได้” จึงตรัสพระคาถานี้ว่า พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดีพึงชนะคนตระหนีด้วยการให้ พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น