หน้าเว็บ

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กายนคร


 เทศนาธรรม  เรื่อง  กายนครของเจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์

กายนคร *
กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา
นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา
โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน
ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยาติฯ
 บัดนี้ จะรับประทานวิสัชนาพระธรรมเทศนาในพุทธภาษิต ซึ่งมีมาในคัมภีร์พระธรรมบท เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ การฟังธรรม แด่พุทธบริษัท ตามสมควรแก่อารัพภสมัย เนื้อความตามพุทธภาษิต ซึ่งได้ยกขึ้นเป็นอุเทศนั้นว่า  “กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา”  บุคคลพึงรู้แจ้งซึ่งสกลกายของตนนี้ว่า เป็นของไม่คงทนสักปานใด  เปรียบด้วยภาชนะ  คือหม้ออันบุคคลทำขึ้นดินเหนียวฉะนั้น อธิบายว่าธรรมดาภาชนะอันบุคคลทำขึ้นด้วยดินเหนียว จะเล็กใหญ่สุกดิบตื้นลึกหนาบางขนาดไหนไม่ว่า ย่อมจะมีความแตกดับ ความทำลายเป็นที่สุดฉันใด ถึงแม้สกลกายซึ่งนิยมว่าเป็นของๆ เรานี้ จะเล็ก ใหญ่ อ้วน ผอม สูง ต่ำ ดำ ขาวปึกแผ่นแน่นหนา หรือบอบบางประการใดก็ตาม คงจะมีความแตก ความทำลายเป็นที่สุดฉันนั้น  “นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา”  แล้วพึงตั้งจิตนี้ไว้ภายในสกลกาย อันประกอบด้วยทวารทั้ง ๙ ซึ่งมีอาการควรเปรียบด้วยพระนครอันมั่นคง พรักพร้อมด้วยประตูหอรบครบบริบูรณ์สมควรจะรับข้าศึกได้ อธิบายว่า เจ้าผู้ครองนครก็ดี แม่ทัพก็ดี เมื่อได้พระนครอันมั่นคงพร้อมด้วยค่ายคูประตูหอรบเช่นนั้น เมื่อมีข้าศึก ปัจจามิตรมาติดพระนคร  ก็ควรออกรบกับข้าศึก  ถ้าเสียท่วงทีแก่ข้าศึกลง  ก็ให้กลับเข้าพระนครรักษาประตูหอรบไว้ให้มั่นคง แล้วเข้าพักผ่อนทแกล้วทหารบำรุงกำลังสุรโยธาให้บริบูรณ์ขึ้นเต็มที่แล้ว ก็ให้ออกรบบ่อยๆ อย่าปล่อยให้ข้าศึกมีกำลัง เมื่อมีชัยได้แคว้นของปรปักษ์แล้ว  ก็ให้ตั้งกองรักษาอย่าให้เสียท่วงทีได้ และอย่ายินดีอยู่แต่เพียงเท่านั้นให้เร่งรีบรบชิงชัยจนได้ตลอดอาณาจักรของปัจจามิตร ข้ออุปมาอันนี้แลมีฉันใด พระโยคาวจรผู้เห็นโทษในวัฏฏสงสารเมื่อได้สกลกายบริบูรณ์พรักพร้อมด้วยทวารทั้ง ๖ มีจักษุทวารเป็นต้น อันพ้นเสียแล้วจากพิบัติ คือใบ้บ้า บอดหนวก ชื่อว่าเป็นอันได้พระนครอันดี  “โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน” เมื่อเห็นว่าตนได้พระนครอันดีเช่นนั้น ก็พึงตั้งหน้ารบกับด้วยมารกิเลสด้วยอาวุธ คือวิปัสสนาญาณ เมื่อเห็นว่ากิเลสมีกำลังกล้าสู้ไม่ไหว ก็ให้เข้าภายในพระนคร พักผ่อนบำรุงตรุณวิปัสสนา คือ สมาธิจิตให้มีกำลังกล้าแล้วออกรบบ่อยๆ  “ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา” เมื่อรบชนะได้เพียงใด ก็ให้ตั้งสังวรอินทรีย์ รักษาไว้อย่าให้เสียแก่ข้าศึกอีก แต่อย่ายินดีอยู่แต่เพียงเท่านั้น ข้อสำคัญคือพระนิพพานเป็นสถานอันข้าศึกรักษาอยู่โดยรอบ ชื่อว่าอาณาเขตแห่งปรปักษ์ เราจะต้องตั้งใจหักเอาให้จงได้ จึงจะเป็นผู้พ้นภัย มีชัยชนะ ไม่มีข้าศึกที่จะต่อต้าน ปานประหนึ่งว่า บรมจักรพรรดิราชมีอุปไมยเช่นเดียวกันกับสุรโยธาอันชนะอาณาจักรของปรปักษ์เช่นนั้น
 บัดนี้ จักอธิบายที่ว่ากายนคร ซึ่งว่ามีข้าศึกตั้งอยู่โดยรอบ ข้าศึกนั้นใช่อื่น ได้แก่ อุปกิเลส ซึ่งเข้าทำใจให้ขุ่นมัว ๑๖ ประการ คือ
โมโห ความหลงไม่รู้จักดีและชั่ว ๑
อหิริกํ ความไม่ละอายต่อกรรมอันเป็นบาป ๑
อโนตฺตปฺปํ ความไม่สะดุ้ง หวาดเสียวต่อกรรมอันเป็นบาป ๑
โลโภ   ความละโมบเพ่งอยากได้พัสดุของท่านผู้อื่น ๑
ทิฏฺฐิ ความเห็นวิปลาสผิดจากทางชอบธรรม ๑
มาโน ความถือตนว่าตนดีกว่าผู้อื่น ๑
อิสฺสา ความริษยาไม่อยากให้ผู้อื่นดีกว่าตน ๑
มจฺฉริยํ ความตระหนี่ หวงแหนวัตถุ ซึ่งเป็นของมีอยู่แห่งตนเกินประมาณ ๑
กุกฺกุจฺจํ ความรำคาญใจ ๑
ถีนํ ความง่วงเหงา ๑
มิทฺธํ  ความหลับ ๑
วิจิกิจฺฉา ความไม่แน่ใจ ๑
มกฺโข ความกลบเกลื่อนคุณของท่าน ๑
ปลาโส ความอวดตน ๑
มายา ความล่อลวงเขา ๑
สาเถยฺยํ ความปิดโทษของตน ๑
เหล่านี้ หรือจะชี้อกุศลเจตสิก ๑๔ ก็มีอาการดุจเดียวกัน ชื่อว่ากิเลสมารทั้งสิ้น เพราะอกุศลธรรมเหล่านี้ เมื่อเข้าสัมปยุตกับจิตผู้ใดแล้ว ย่อมทำจิตให้เศร้าหมองขุ่นมัว เมื่อสงบไม่ได้เพียงจิตแล้ว ก็จะซ่านออกมาภายนอกทำให้กายวิการบ้าง วจีวิการบ้าง แสดงให้โลกเห็นว่าประพฤติตนไม่สมควร จะต้องได้รับโทษต่างๆ อย่างต่ำที่สุดมีครหานินทาติเตียน เป็นต้น อย่างสูงได้รับราชทัณฑ์มีจำคุกและประหารชีวิต เป็นต้น อาจจักทำบุคคลผู้ลุอำนาจของตนให้เสียหายได้อย่างนี้ จึงชื่อว่า มาโร มาร กิเลสมารเหล่านี้จะว่าเป็นของมีอยู่ประจำตนทีเดียวก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีในตนทีเดียวก็ไม่ชอบ เมื่อจะเกิดต้องอาศัยเหตุ คือ ผัสสะ มีอวิชชาเป็นปัจจัย ส่วนสัมผัสสะนั้น ถ้ามีอวิชชาเป็นปัจจัย ก็ไม่เกิดอกุศลเจตสิกเหล่านั้นได้ เพราะเหตุนั้น ถึงท่านผู้ชำระมารได้แล้วทั้งหลาย ผัสสะทั้ง ๖ มีจักขุสัมผัสเป็นต้นยังมี แต่ว่าวิชชาเป็นปัจจัยเสียแล้ว อกุศลเจตสิกจะเข้าสัมปยุตกับจิตของท่านไม่ได้ จิตของท่านจึงผ่องใสอยู่เสมอ ผู้ตั้งใจจะรักษากายนครให้ราบคาบอยู่เย็นเป็นสุข ก็จะตั้งหน้ารบข้าศึกคือมารกิเลสเหล่านี้ ไม่ให้เข้าอาศัยพระนครได้ วิธีรบนั้นก็ไม่ยาก คือให้ปราบพลมารชั้นต่ำ ชั้นเลวด้วยอาวุธคือศีล ให้ปราบพลมารชั้นกลางด้วยอาวุธคือ สมาธิให้ปราบจอมพลของมาร คือตัวอุปธิ ด้วยอาวุธคือปัญญา สนามรบก็คือประตูพระนครทั้ง ๖ แห่ง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เอง การจะยิงอาวุธทั้ง ๓ ประเภทนั้น ก็เล็งศูนย์ให้ตรง คือตัวสติสัมปชัญญะ อย่าให้เสียลูกและดินเปล่า คือ ความไม่แน่นอน เท่านี้ก็จะชนะข้าศึก คือมารกิเลสได้ เพราะ กิเลสเหล่านี้มีกำลังอันน้อย สู้พระอริยมรรค คือ ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ ถ้าจะเทียบอีกชั้นหนึ่ง มารกิเลสนี้เท่ากับพวกปล้นก็ว่าได้ เพราะมันข่มเหงได้แต่ชั้นพวกที่โง่เขลาปราศจากสติเท่านั้น ถ้าไปถึงท่านที่มีสติสัมปชัญญะแล้ว มันก็ไม่มีอำนาจอะไร
 ยังมีข้าศึกอีกประเภทหนึ่ง อันพวกเราจะพึงน่าวิตกอย่างยิ่ง คือ
ชาติ ความเกิด
ชรา ความแก่
พยาธิ ความป่วยไข้
มรณะ ความตาย
ข้าศึก ๔ กองนี้ เท่ากับแวดล้อมเราอยู่โดยรอบ นักปราชญ์ทั้งหลายในโลกซึ่งนิยมกันว่า ผู้มีปัญญาแท้จริง มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ที่จะหลีกออกจากเคหะสถาน ละสุขสมบัติ กามารมณ์ ประพฤติพรตพรหมจรรย์เสียได้ ก็เพราะเห็นโทษว่าตนตกอยู่ในที่ล้อมแห่งข้าศึกทั้ง ๔ กองเหล่านี้ ถ้าเราเพ่งดูความจริงให้ชัดใจแล้ว ก็จะเห็นชาติความเกิดเป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นฐานที่ตั้งแห่งความแก่ความเจ็บไข้ความตาย และความเศร้าโศกคร่ำครวญทนยากลำบากคับแค้นอัดอั้นตันใจ เต็มไปอยู่ในโลกทุกวันนี้ ก็เพราะชาติทุกข์นี้เองเป็นเหตุ ชราความแก่นี้เล่าก็เป็นตัวทุกข์สำคัญส่วนหนึ่ง เพราะความแก่เจริญหนักขึ้น ก็แสดงกายวิการต่างๆ คือ ตามืด หูหนัก ฟันหัก แก้มตอบ มีกำลังอันทุพพลภาพ จะประกอบกิจการงานใดๆ ย่อมข้องขัดตัดความต้องการเสียทั่วไป ได้รับทุกข์โทมนัสอุปายาสต่างๆ เหล่านี้ ก็เพราะชราทุกข์เป็นเหตุ
 ส่วนพยาธิความป่วยไข้นี้เล่า ก็เป็นตัวทุกข์สำคัญอีกโสดหนึ่งเพราะทุกขเวทนาที่จะปรากฏขึ้นในสกลกาย มีปวดหัว เจ็บท้องและร้อนหนาวเป็นต้น ได้รับทุกข์โทมนัสอุปายาสต่างๆ ก็เพราะพยาธิความป่วยไข้เป็นต้นเหตุ ส่วนมรณะความตายนั้นเล่าก็เป็นตัวทุกข์สำคัญอีกโสดหนึ่งเหมือนกัน เพราะชีวิต ร่างกายจิตใจเป็นของรัก ความเป็นอยู่ได้เสมอไป ย่อมเป็นที่พอใจทั่วกัน ความตายเป็นสิ่งที่ไม่พอใจอย่างเอก เพราะสิ่งที่ไม่พอใจมามีขึ้น ก็เป็นหน้าที่จะต้องทุกข์โทมนัสคับแค้นใจอยู่เอง เพราะเหตุนั้น มรณะคือความตายจึงเป็นตัวทุกข์ส่วนหนึ่ง ดังนี้
 ถ้าจะว่าไปตามความเป็นจริง ทุกข์ทั้ง ๔ กองนี้ ต้องนับว่าเป็นของมรดกตกมาแต่บิดามารดาตรงทีเดียว ความจริงบิดามารดาท่านก็ไม่ชอบ ท่านชอบแต่เกิดเท่านั้น ส่วนแก่ ไข้ เจ็บ ตาย ท่านเกลียดที่สุด แต่ไฉนจึงต้องมอบให้แก่เราด้วย น่าพิศวงนักหนา ถ้าจะว่าท่านรักเราที่สุดก็ชอบ เพราะท่านทำนุบำรุงเลี้ยงดูเรามาอย่างประณีตที่สุด ถ้าจะว่าท่านเกลียดเราที่สุดก็ชอบ เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าความแก่ ไข้ เจ็บ ตาย มีมาเพราะความเกิด ต่างว่าบุรุษคนหนึ่งเป็นขี้เรื้อนกุฏฐัง รู้อยู่ว่าถ้าเรามีภรรยาเกิดบุตรขึ้น ก็คงจะเป็นขี้เรื้อนกุฏฐังเช่นตัวเราเป็นแน่ เราทนวิบากรับผลของกรรม จำเพาะแต่ตัวคนเดียวให้สิ้นเรื่องไปดีกว่า อย่าให้โรคนี้ไปติดต่อกับบุตรอีกเลย คิดอย่างนี้สู้ทนไม่มีภรรยา ไม่ให้โรคนั้นติดต่อได้ ถ้าเช่นนั้นควรชมได้ว่าเป็น ไม่ให้โรคนั้นติดต่อได้ ถ้าเช่นนั้นควรชมได้ว่าเป็นผู้คิดดีคิดชอบมิใช่หรือ ก็โรคคือ ความแก่ ไข้ เจ็บ ตายนี้จะมิร้ายกว่าโรคกุฏฐังอีกหรือ จะว่าบิดามารดาโง่หรือฉลาดก็ตามใจ ว่าแต่จำเพาะตัวของเราเองดีกว่า คือว่าเราจะยอมให้มรดกอันชั่วร้าย ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แก่บุตรหรือไม่ เพราะส่วนบิดามารดาเป็นอดีตเสียแล้ว ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ แต่ส่วนตัวของเราเป็นปัจจุบันมีทางจะแก้ไขได้ ข้อนี้ควรผู้มีปัญญาจะพึงตรึกตรองหรือจะเห็นไปว่า ถ้าพร้อมใจกันไม่มีสามีภรรยาเสียด้วยกันหมดจะได้ใครสืบประเพณีต่อไปเล่า ข้อนี้ไม่ควรปรารภ จะไปตรงกับสุภาษิตโบราณว่า “เกี่ยวหญ้ามุงทุ่ง” นักปราชญ์ทั้งหลายผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ท่านย่อมคิดจำเพาะตนเท่านั้น ถึงแม้โลกเขาร้องไห้เศร้าโศกทั่วไป ท่านไม่ยอมร้องไห้เศร้าโศกคนเดียว ก็แต่เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เองเป็นตัววัฏฏะทุกข์ บัดนี้ เราชื่อว่าถูกล้อมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ก็ความเกิดเป็นเบื้องต้นเราเกิดมาเสียแล้ว ความตายเป็นเบื้องปลาย ความแก่ความป่วยไข้แนบอยู่สองข้าง เราจะออกทางไหน ท่านทั้งหลายผู้เห็นโทษแห่งวัฏฏะทุกข์นี้ต่างคนต่างคิดหาทางออก จึงเกิดมีความเห็นต่างๆ กัน พวกหนึ่งชื่อว่า  สัสสตาสยะ เห็นว่าความเกิดเป็นความเที่ยง เคยเกิดเป็นอะไรก็จะต้องเกิดเป็นสิ่งนั้นร่ำไป แต่ตัวก็ไม่พ้นตาย อีกพวกหนึ่งชื่อว่า อุจเฉทาสยะ เห็นว่าตายแล้วสูญ ความรู้ความคิดที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เป็นแสงของดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประชุมกันอยู่นี้เท่านั้น ถ้าธาตุทั้ง ๔ แตกจากกันเสียแล้ว ความรู้ความคิดก็ดับไปหมด ชื่อว่า อุจเฉททิฏฐิ แต่ตัวก็จะต้องตาย อีกพวกหนึ่งชื่อว่า อนุโลมิกขันตยาสยะ มีความเห็นไม่แน่นอน ตามเขาไปอย่างนั้นเอง จะเห็นว่าตายแล้วต้องเกิดอีกก็ไม่แน่ จะเห็นว่าตายแล้วสูญไปก็ไม่แน่ อดทนไปตามเขาอย่างนั้นเอง ชื่อว่า อนุโลมิกทิฏฐิ แต่ตัวก็จะต้องตาย เจ้าทิฏฐิทั้ง ๓ นี้ออกจากที่ล้อมไม่ได้ต้องยอมตาย ชื่อว่าตายในที่ล้อมตายในห่วงตายในสมมติ จึงชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ อีกพวกหนึ่งชื่อว่า ยถาภูตญาณาสยะ มีความเห็นตามความเป็นจริงอย่างไร คือในเบื้องต้นเมื่ออวิชชาเป็นปัจจัยเห็นว่าความเกิดเป็นอดีต คือเกิดมาเสียแล้ว ส่วนความแก่ ความป่วยไข้ ความตายนั้นเป็นอนาคต คือยังมาไม่ถึง ตัวซึ่งไม่มีเกิดแก่ป่วยไข้เจ็บตายนี้เป็นปัจจุบัน จึงเป็นที่ตั้งแห่งตัณหา ๓ ความเกิดซึ่งเป็นอดีตเป็นกามตัณหา ตัวที่เป็นปัจจุบันซึ่งไม่มีเกิดแก่เจ็บตายนี้เป็นภวตัณหา เมื่อตรองได้ความชัดว่า ตัวของเราตกอยู่ในอำนาจของตัณหาทั้ง ๓ แน่นอน ตัณหาทั้ง ๓ นี้ท่านให้ชื่อว่า สมุทัยอริยสัจ เพราะไม่รู้จักเกิดแก่เจ็บตายว่าเป็นตัวสมุทัยนี้เอง เกิดแก่เจ็บตายจึงกลายเป็นทุกขอริยสัจขึ้น เมื่อตรวจตรองจนรู้จักหน้าตาของทุกข์และสมุทัยจนชัดใจแล้วก็จะต้องค้นหาทางละทางวาง หาทางปล่อย หาทางออกจากตัณหานั้น จะละจะวางจะปล่อยจะออกทางไหน โบราณท่านว่าขึ้นต้นไม้สุดยอดแล้วจะไปทางใด ก็ได้ความว่า ขึ้นทางใดก็ต้องลงทางนั้น มาทางใดก็ต้องกลับทางนั้น อันตัวของเรานี้มาทางเกิดแก่เจ็บตายฉะนี้แล้ว จะออกทางอื่นไม่ได้ ต้องออกทางเกิดแก่เจ็บตายนี้เอง จึงจะตรง เมื่อความแน่นอนเกิดขึ้นแก่ใจฉะนี้แล้ว จะต้องตรวจดูความเกิด คำที่ว่าชาติความเกิดนี้ จะหมายความเอาเป็นแน่ลงในเวลาใด ทำไมจึงจะขีดลงได้ว่านี่แหล่ะชื่อว่าชาติความเกิด เมื่อไม่เข้าใจให้ระลึกถึงปฏิจจสมุปบาทธรรมที่ว่า “ภวปจฺจยา ชาติ” ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติดังนี้ คำที่ว่าภพนั้น ก็คือความเป็นความมีแห่งสกลกายอันนี้เอง เมื่อสกลกายมีอยู่ก็ชื่อว่ามีภพ เมื่อมีภพเป็นแดนเกิดอยู่แล้ว ชาติก็ต้องหมายเอาที่ภพนี้เอง ก็จะเห็นได้ว่าเราเป็นตัวภพตัวชาติ เมื่อภพปรากฏอยู่เพียงใด ชาติก็ย่อมปรากฏอยู่เพียงนั้น ที่เราบริโภคอาหารคือผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นต้น ก็คือบำรุงชาติ ความเกิดนั้นเอง  ก็จะเห็นได้ว่าเราเกิดอยู่เสมอทุกขณะลมหายใจเข้าออก เมื่อชาติความเกิดที่เป็นปัจจุบันซึ่งเป็นของจริงนี้ ปรากฏชัดขึ้นแก่ใจของเราได้ในกาลใด ชาติความเกิดที่เป็นอดีต ซึ่งตนเคยเข้าใจมาแต่ก่อนนั้นก็จะดับไปในกาลนั้น เมื่อเห็นชาติความเกิดซึ่งเป็นปัจจุบันโดยชัดเจนได้แล้ว ก็จะเห็น ชรา ความแก่ พยาธิความป่วยไข้ มรณะ ความตาย ซึ่งเป็นปัจจุบันอยู่ด้วยกันมีด้วยกัน พลัดพรากจากกันไม่ได้ เมื่อความเห็นอันนี้ชัดใจแล้ว ส่วนชราพยาธิมรณะซึ่งเคยเข้าใจว่าเป็นอนาคตนั้นก็จะดับไป ยังเหลืออยู่แต่ชาติชราพยาธิมรณะ ซึ่งเป็นปัจจุบันเป็นตัวมรรค อาการที่เห็นว่าชาติชราพยาธิมรณะเป็นอดีตบ้างเป็นอนาคตบ้างและเห็นตัวของเราเป็นปัจจุบันว่างจากชาติชราพยาธิมรณะด้วยนั้นแล เป็นทุกข์ด้วย เป็นสมุทัยด้วย อาการที่เห็นชาติชราพยาธิมรณะเป็นปัจจุบันธรรมคือเป็นตัวเรา หรือตัวเราเป็นชาติชราพยาธิมรณะตรงทีเดียวนั่นแลเป็นนิโรธด้วย เป็นมรรคด้วย เมื่อมรรคภาวนาอันโยคาวจรเจ้าได้เจริญให้เกิดให้มีขึ้นเต็มที่เป็นสีลวิสุทธิ    จิตตวิสุทธิ   ทิฏฐิวิสุทธิขึ้นได้ในกาลใด ญาณทัสสนะเป็นเครื่องวินิจฉัยว่า นี่โลก นี่ธรรม นี่สมมติ นี่บัญญัติ ก็จะปรากฎขึ้นแก่โยคาวจรเจ้าในกาลนั้น คือบรรลุวิมุตติธรรมนั้นเอง ชื่อว่าท่านออกจากชาติชราพยาธิมรณะได้โดยดี ด้วยวิชชาและวิมุตติ ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านจึงมีนามว่า
เขมี  ผู้เกษมจากโยคะ
อเวรี  ผู้หาเวรมิได้
อภโย  ผู้หาภัยมิได้
“ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ” นักปราชญ์ในโลกจึงให้เกียรติคุณแก่ท่านจำพวกนั้นว่าบัณฑิตๆ ดังนี้ ท่านจำพวกนี้ ชื่อว่า ยถาภูตญาณาสยะ คือออกจากที่ล้อมแห่งข้าศึกด้วยญาณทัสสนะ คือตัวยถาภูตญาณ เป็นผู้ออกตัวได้ไม่ยอมตายในสมมติ เพราะเหตุฉะนั้น จึงเป็นผู้สมควรนักหนา อันพวกเราทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทจะพึงดำเนินตาม แต่พึงเข้าใจว่าทางหนี ทางสู้เหล่านี้จะปรากฏขึ้นได้ต้องอาศัยกิจจญาณ คือปฏิบัติ ตัวภาเวตัพพธรรม เป็นได้ต้องอาศัยกิจจญาณ คือปฏิบัติ ตัวภาเวตัพพธรรม เป็นมรรคภาวนา ได้แก่การทำให้พระอัฏฐังคิกมรรคบริบูรณ์ขึ้นเต็มที่แก่ตนเป็นข้อสำคัญ
 ได้บรรยายในพุทธภาสิตคาถา แสดงกายนครตามพุทธภาษิตและอัตตโนมัตยาธิบาย พอเป็นทางแห่งความดำริแก่พุทธบริษัทโดยสังขิตนัยด้วยประการฉะนี้ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น