หน้าเว็บ

ท่านเจ้าคุณนรฯ4


นอกจากนี้ท่านธมฺมวิตกฺโกยังมีความกตัญญูกตเวที โดยเฉพาะกับบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครั้งที่ยังรับราชการ ทุกคราวที่มาถึงบ้านและกลับไปเข้าวัง จะต้องมากราบคุณแม่และคุณยายทั้งขามาและขากลับ
เงินเดือนที่ได้รับจากการทำงานจะนำมามอบให้คุณแม่ทั้งหมด แล้วขอไปใช้ส่วนตัวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
อีกทั้งอบรมสั่งสอนให้น้อง ๆ ช่วยเหลือดูแลคุณพ่อ คุณแม่และคุณยายเพื่อตอบแทนพระคุณ
ต่อมาท่านธมฺมวิตกฺโกได้ถูกโรคร้ายเข้าคุกคาม
คือโรคมะเร็ง ท่านธมฺมวิตกฺโกเป็นโรคมะเร็งกรามช้างจนเน่าเฟะ แต่ท่านก็มิได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าว
ให้ปรากฏแก่สายตาภิกษุสงฆ์ และประชาชนที่พบเห็นเลยแม้แต่น้อย ท่านมีอาการเป็นปกติธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่านลงอุโบสถทำวัตรเช้า-เย็นเป็นประจำเสมอมิได้ขาดเลย แต่แล้วอยู่ ๆ โรคร้ายที่เกาะกุมท่านธมฺมวิตกฺโกก็อันตรธานหายไปเอง
โดยท่านมิได้ไปหาแพทย์ให้รักษาหรือฉันหยูกยาแต่ประการใดเลย

“โรคมันเกิดขึ้นมาเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน”

ท่านธมฺมวิตกฺโกพูดอยู่เสมอ ยิ่งนับวันเสียงลือเสียงเล่าอ้างทางด้านอภินิหารต่าง ๆ ของท่านก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศว่า
ท่านท่านธมฺมวิตกฺโกเป็นพระภิกษุสงฆ์รูปเดียวในปัจจุบันนี้ที่สำเร็จอรหันต์แล้ว

จึงมีประชาชนจำนวนมากใคร่อยากจะเข้าพบเพื่อนมัสการ แต่ก็หาเวลาพบท่านได้เพียง ๒ เวลาเท่านั้น คือตอนทำวัตรเช้าและเย็น
ซึ่งก็มีเวลาสนทนากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมากท่านจะคุยเรื่องธรรมะและอบรมสั่งสอนให้ประกอบและประพฤติในทางดีทั้งสิ้น
ผู้ใดได้เข้าพบปะสนทนากับท่านธมฺมวิตกฺโกแล้ว ผู้นั้นจะรู้สึกจิตใจสดชื่นเบิกบานแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก
เสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้เองที่ล่วงรู้ถึงหูชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งยากจนมากอยากจะเข้าพบนมัสการท่านธมฺมวิตกฺโก บ้าง
พยายามเพียรมาพบที่พระอุโบสถหลายครั้ง แต่ก็เข้าไม่ถึงองค์ท่านเลยสักครั้ง
จีนผู้นั้นจึงได้ตัดสินใจมาดักพบที่กุฏิตอนเช้า ก่อนที่ท่านจะลงทำวัตรเช้า เมื่อพบท่านชาวจีนผู้นั้นก็ก้มลงกราบที่หน้าประตูและกล่าวว่า

“อยากจะมาขอพร เพราะยากจนเหลือเกิน ทำมาค้าขายก็มีแต่ขาดทุน”

ท่านธมฺมวิตกฺโกได้ฟังชาวจีนพูดจบลงแล้ว ท่านจึงเอากะลาขัดตักน้ำมาพรมให้ชาวจีน และพูดว่า

"ไปได้ คราวนี้จะรวยใหญ่"

และเป็นจริงอย่างที่ท่านให้พรทุกประการ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา ชาวจีนผู้นั้นก็ทำมาค้าขายเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ตั้งแต่ท่านธมฺมวิตกฺโกอุปสมบท ไม่เคยปรากฏว่าท่านแสดงธรรมเทศนาที่ใด แม้โอวาทของท่านก็มีเพียงสั้น ๆ
ธรรมเทศนาของท่านธมฺมวิตกฺโกจึงค่อนข้างจะหาได้ยาก เพราะท่านถนัดในการปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างมากกว่าการเทศน์ให้ฟัง
ธรรมที่ท่านแสดงไว้เมื่อพิมพ์แล้วเป็นเพียงสมุดเล่มเล็ก ๆ มีเนื้อความเพียง ๒๒ หน้ากระดาษ และเป็นเรื่องสั้น ๆ ๙ บท ดังนี้

โอวาทของธมฺมวิตกฺโกภิกขุ วัดเทพศิรินทราวาส
๑. Personal magnet
๒. เมตตา
๓. สบายใจ
๔. สันติสุข
๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย....ก็คือไม่ทำอะไรเลย
๖. สติสัมปชัญญะ
๗. อานุภาพของ....ไตรสิกขา
๘. ดอกมะลิ
๙. ทำดี ดีกว่าขอพร

๑. Personal magnet
เรื่องที่มีคนเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจนั้นเป็นเพราะ คุณธรรมความดีของตนเองหลายประการด้วยกัน
เป็นต้นว่ามี วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข้มแข็ง แรงกล้า และจิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง
เป็นเหตุให้ผู้ที่แวดล้อมอยู่ เกิดความเมตตา กรุณารักใคร่เห็นอกเห็นใจ คิดที่จะช่วยเหลือ
คนซึ่งมีกิริยามารยาทอ่อนโยนสุภาพนิ่มนวล ย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ของคนที่ได้พบเห็นและพยายามที่จะช่วยเหลือ
นี่เป็น Personal Magnet คือ เสน่ห์ในตัวเอง เพราะฉะนั้นจงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้
จะเป็น เครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต

๒. เมตตา
อย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้ จงจำไว้ว่าถ้าปรารถนาความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น
ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตา และความเห็นอกเห็นใจไปยังท่านเหล่านั้นแล้ว
ก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน นี่เป็นกฎของจิตตานุภาพ
แล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนาก็จะบังเกิดแก่ตน สมประสงค์ทุกประการเป็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย
๓. สบายใจ

....คำว่า ไม่สบายใจ อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป

"Let it go,and get it out!"

ก่อนจะเกิด Let it go! ปล่อยผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไป มันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้
พอมีสติรู้สึกตัวว่าไม่สบายใจไว้ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอาความไม่สบายใจไว้ในใจ
จะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอ ออดแอด ทำอะไรผิดพลาด นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัว

...เพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบ ประสาทสมองไม่ปกติเป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ
พลอยไม่สงบไม่สบายด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่งเป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี
เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจใหม่

....ทั้งก่อนที่จะทำอะไรหรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้วต้องหัดจิตใจแช่มชื่น รื่นเริง เกิดปีติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ Enjoy living มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงเบิกบาน
จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจ จำได้ง่าย เหมือนดอกไม้ที่แย้มเบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้างและอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น
๔. สันติสุข

พระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
...หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่น ความสุขในการดูละคร ดูหนัง การเข้าสังคม Social ในการมีคู่รักคู่ครอง
หรือในการมีลาภยศ ได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ก็สุขจริง
แต่ว่าสุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ ทุกอย่างต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติความสงบ
ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมาก เป็นความสุขที่ทำได้ง่าย
เกิดกับกายใจของคนเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบ ๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้
..ถ้าเรารู้จักแยกใจหาสันติสุข กายนี้ก็เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ
แม้เวลาเจ็บหนักมีทุกขเวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้
ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ใจเดือดร้อนตามไปด้วย เมื่อใจสงบแล้ว กลับทำให้กายนั้นสงบหายทุกขเวทนาได้ด้วย
และประสบสันติสุขซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทางคือ

...๑. สอนให้สงบกายวาจาด้วยศีล
ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทางกาย วาจา เป็นต้นเหตุสันติสุขทางกายวาจาเป็นประการต้น

..๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิ
หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่อง
ความกำหนัด
ความโกรธ
ความโลภ
ความหลง
ความกลัว
ความฟุ้งซ่านรำคาญ
ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด
เมื่อฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิในสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง

...๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ
ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงคงทนอยู่ไม่ได้
คือเสื่อมสิ้น แปรปรวน ดับไป เรียกว่าเป็นทุกข์
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์เรียกว่า อนัตตา

เมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคง เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย
...เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นไม่แน่นอน มันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง
เสื่อมสิ้นดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา อย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ คงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอ
ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้น เป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ใน สันติสุข
เป็นอิสระที่เกิดอำนาจทางจิตใจ Mind power ที่จะใช้ทำกิจกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์

"นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

...It needs a Peaceful Mind to support a Peaceful Body,
and it needs a Peaceful Body to support a Peaceful Mind,
and it needs Both Peaceful and Mind to attain all success that which you wish.
๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย ‘Do no wrong is do nothing’

...จงระลึกถึงคติพจน์ว่า ‘Do No wrong is do nothing’ ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย

..ความผิดนี้แหละเป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด
และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า เจ็บแล้วต้องจำ !
ตัวเองทำผิดเองนี่แหละ เป็นอาจารย์ผู้วิเศษเป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้ สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป

..แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว
แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่ คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า

ระวัง ! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ

ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกที่ห้า หกซ้ำอภัยไฉน !

..จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่านักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี
และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาอาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี
ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนด้วยกันมาแล้วด้วยกันทุกส่วน
๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้ และความรู้ตัว)

..ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย
ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอเหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า

กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม

..ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ตลอดทั้งพืชพันธุ์พฤกษชาติเป็นอยู่ได้ ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า ‘Life is fighting’
ชีวิตคือการต่อสู้ เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใด ก็ต้องที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย

..เพราะฉะนั้น ยังมีสติอยู่ตราบใดถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต
ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า Immortal

จึงเรียกว่าปรินิพพาน คือนามรูป สังขาร ร่างกาย ที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น

..เพราะฉะนั้น ควรฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ (รู้ตัวอยู่ทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่)
เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตราพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี
ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้วก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด
๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

..ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล จึงชนะข้าศึกคือ กิเลสอย่างละเอียดได้ !

๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ด้วยศีล
ชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชังซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ
ชนะความเข้าใจรู้ผิดเห็นผิดจากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยปัญญา

๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูล บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว
ผู้นั้นจึงเป็นผู้จากทุกข์ทั้งปวงได้เป็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย!

เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจเอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ทุกเมื่อเทอญ
๘. ดอกมะลิ

..ดอกมะลิ เป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุด
และขาวบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลาย
ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นอยู่ก็เช่นเดียวกับการละคร
ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุด
เช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ
อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด
และให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่เพียง ๒-๓ วันก็จะเหี่ยวเฉาไป
ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิที่เริ่มแย้มบาน

ฉะนั้น... จงเลือกทำแต่กรรมที่ดี ๆ
๙. "ทำดี ดีกว่าขอพร"

.."จงเลือกทำแต่กรรมที่ดี ๆ นะ !"
เตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไป เป็นตัวแทนคำอวยพรอย่างสูงสุด ประกอบด้วยเหตุผล
เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำกรรมชั่วแล้ว จะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพรอย่างไรก็ดีไม่ได้
ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใด ๆ จะมาเสกเป่าอวยพรอ้อนวอนขอร้องให้หินขึ้นมาได้
ทำกรรมชั่วจะต้องล่มจมป่นปี้เสียราศี เกียรติคุณ ชื่อเสียง
เหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ
ทำดีเหมือนน้ำมันเบา เมื่อเทลงน้ำ ย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบอยู่เหนือน้ำ

..ทำกรรมดี ย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง มีแต่คนเคารพนับถือยกย่องบูชาเฟื่องฟุ้งฟูลอยเหมือนน้ำมันลอย
ถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้าย อิจฉาริษยาแช่งด่าให้จม ก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง
ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญ พยายามทำแต่กรรมดี ๆ โดยไม่มีความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น
ผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี ผู้ที่มีความสุข และผู้ที่มีความเจริญประสงค์ใดสำเร็จสมประสงค์
ก็คือผู้ประกอบกรรมทำแต่ความดีอย่างเดียวนั่นเอง

...นอกจากนี้ ยังมีโอวาทที่น่าสนใจ อีกบางข้อเช่น

"คนเราเมื่อมีลาภก็มีเสื่อมลาภ เมื่อมียศก็มีเสื่อมยศ
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา" เป็นของคู่กันมาเช่นนี้

..จะไปถือสาอะไรกับปากมนุษย์ ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม นับประสาอะไร
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดายังมีมารผจญ ยังมีนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเรา จะรอดพ้นจากโลกธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้ ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง ชมก็ช่าง
เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่เราจะทำอะไรเราคิดแล้วว่า ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น
เราจึงทำ เขาจะนินทาว่าใส่ร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำกรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวลกลัวใคร ติเตียนทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่า ๆ "

..ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้ชักชวนให้สาธุชนจดจำพระคาถาในหนังสือสันติวรบทความว่า
" บุคคลประพฤติสุจริตธรรม ในเวลาใด เวลานั้น ย่อมเป็นฤกษ์ดี มงคลดี แสงสว่างดี การตั้งมั่นดี เป็นขณะดี
เป็นยามดี การบูชาที่ดีในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย การกระทำทางกาย วาจา ใจ เป็นประทักษิณ
ควรทำให้อยู่เบื้องขวา คือ ควรเชิดชูคุณธรรมที่ควรเชิดชู เป็นอันตั้งไว้แล้ว บุคคลที่ทำการเชิดชูทั้งหลายแล้ว
ย่อมได้รับประโยชน์อันควรเชิดชูเช่นกัน "
ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคมะเร็ง
เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เมื่อท่านอายุได้ ๗๔ ปี
ครองสมณเพศเป็นเวลา ๔๖ ปี

นับแต่นี้ต่อไป แม้จะไม่มีสังขารของท่าน ธมฺมวิตกฺโก
แต่คุณงามความดีของท่านก็จะยังคงอยู่ตลอดไปไม่เสื่อมสลาย
ท่านเคยบอกว่านามฉายาของท่านคือ ธมฺมวิตกฺโก นั้น
มีความหมายถึงการระลึกถึงธรรม หรือการตรึกถึงธรรม
อันเป็นนามเดิมของท่าน เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

ท่านเคยบอกเสมอว่า
"ถ้าคิดถึงอาตมาก็ให้คิดถึง ธมฺมวิตกฺโก เพราะ ธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม
เมื่อคิดถึงเช่นนี้แล้ว ธมฺมวิตกฺโก ก็จะอยู่ข้าง ๆ เสมอ
ไม่จำเป็นจะต้องมาหาอาตมา
เพราะเมื่อมาหาก็มาเห็นแต่สังขาร ซึ่งวันหนึ่งก็จะเน่าเปื่อยและเสื่อมสิ้นไป
จงระลึกถึงธรรมดีกว่า จะมีคุณค่าต่อชีวิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ศีลและธรรมเป็นหลักของมนุษย์
มนุษย์จะอยู่ได้สงบเยือกเย็นเป็นสุขก็โดยศีลและธรรม
หากขาดสิ่งเหล่านี้แล้วมนุษย์ก็จะมีค่าเสมอกันกับสัตว์"




จบประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ) แต่เพียงเท่านี้
__________________

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น