หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560

รวมธรรมะจาก facebook

สัมมาอาชีโว... เลี้ยงชีพชอบ!
การทำมาหากินคือ ๑ ใน องค์ ๘ ของอริยมรรค
อันว่า สัมมากัมมันโต คือการกระทำชอบนั้น ในคำจำกัดความ ที่พระพุทธบัญญัติ ตรัสว่า มี การไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในกามเป็นพื้นฐาน

ดังนั้น การเลี้ยงชีพนั้นจึงหมายถึงการกระทำที่เป็นการอุปโภค บริโภคเลี้ยงชีวิต เมื่อพระภิกษุ บวชมาในศาสนานี้แล้ว ก็จะต้องบิณฑบาต เลี้ยงชีพ ไม่ควรไปทำอาชีพอื่นเพื่อหารายได้ ก็น่าจะพอเพียงแก่การเลี้ยงชีพของตนไปได้ทั้งชีวิตแล้ว เมื่อพระภิกษุรูปใด เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า กระทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็ย่อมเห็นกิเลสภายในจิตของตนที่ดิ้นรนอยากออกนอกกรอบไปจากคำสอน เมื่อได้เห็นจิตตนแล้วก็พยายามฝึกหัดดัดนิสัย ฝืนนิสัย ต่อสู้พญามารด้วยความเชื่อมั่นในพระพุทธองค์เจ้า และพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติจนผ่านพ้นไปก่อนแล้ว ก็คงจะได้พบธรรมะอันรุ่งโรจน์ในจิตของตนอย่างแน่นอน.. สักวันหนึ่ง!
:::::::
เราพิจารณาแล้วจึงใช้สอยเสนาสนะ...
เพราะ เสนาสนะเป็นปัจจัยในการดำรงชีพของสมณะ และบุคคลทั่วไป
แต่ผู้ต้องการละกิเลสแล้ว ต้องพิจารณาให้ละเอียดในการใช้สอย...
ด้วยว่า ที่อยู่อาศัยมักเป็นเครื่องมือของกิเลสได้หลายอย่าง เช่น เป็นเครื่องวัดฐานะ, สร้างความสุข,สะดวกสบายต่างๆ โดยละเลยความเป็นคุณค่าที่แท้จริงไป ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงจำกัดความให้ภิกษุพึงพิจารณาว่า
....
 ปะฏิสังขา   โยนิโส   เสนาสนะ   ปะฏิเสวามิ , 
- เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ใช้สอยเสนาสนะ

ยาวะเทวะ   สีตัสสะ   ปะฏิคาตายะ , 
- เพียงเพื่อบำบัดความหนาว

อุณหัสสะ   ปฏิคาตายะ , 
- เพื่อบำบัดความร้อน

ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง   ปะฏิฆาตายะ , 
- เพื่อบำบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ   ยุง   ลม   แดด   และสัตว์ เลื้อยคลานทั้งหลาย

ยาวะเทวะ   อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง   ปะฏิสัลลานารามัตถัง , 
- เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ,   และเพื่อ ความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้ในที่หลีกเร้นสำหรับภาวนา
....
เมื่อภิกษุได้พิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ จิตย่อมคลายความมักใหญ่ใฝ่สูงในสถานที่ที่ได้เข้ามาพักอาศัย และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฆารวาสในการจัดหา,จัดทำไป แต่มิใช่ปล่อยให้ทำไปตามใจเขา
แม้ในครั้งพุทธกาล นางวิสาขามหาอุบาสิกาได้ถวายวัดบุพผาราม พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้พระโมคคัลลานะเป็นผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้าง เพื่อให้เป็นไปตามประโยชน์ที่สมควรแก่ศาสนา
แต่มิใช่ว่า พระโมคคัลลานะ จะเที่ยวไปหาเจ้าภาพมาช่วยสร้างเสียเมื่อไร?
การสร้าง ควรให้ญาติโยมเขาเห็นธรรมะก่อน แล้วเขาจึงเกิดศรัทธา จากนั้นก็ให้เขาใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งที่ตนจะเสียสละได้ แล้วจึงสละออกเพื่อการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เป็นวิหารทาน บุคคลผู้เสียสละเช่นนี้จึงจะได้รับผลบุญอย่างเต็มที่
ไม่ใช่พระอยากจะสร้าง ก็พากันประกาศบอกบุญ เรี่ยไรกันจนศรัทธาหด หมดปัญญาที่จะหนี ทำก็ทำอย่างเสียมิได้ การเสียสละอย่างนี้ ทั้งพระทั้งโยมก็จะพากันทุนหายกำไรหดในทางบุญ แต่ทางวัตถุก็ได้สวยงาม หน้าก็บาน ยศตำแหน่ง ลาภสักการะก็เยอะขึ้นๆ
แต่ไม่ใช่ว่าจะเหมารวมว่า ใครทำอย่างนี้แล้วจะไม่ได้บุญทั้งหมด ยังมีพระบางท่านที่กำลังสะสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องมาเก็บบริวารให้รู้จักเสียสละทานก็มี สิ่งที่เป็นเจตนานั้นดูภายนอกไม่ได้ว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ถ้าไปเหมาหมด อาตมาเองแหละจะตกนรกก่อนใคร เพราะนำเอามิจฉาทิฎฐิไปเผยแพร่ให้ญาติโยมเห็นผิด!

สรุปว่า การทำบุญอะไรๆก็ควรดูที่เจตนาของตนเองเอาแล้วกัน ทำไปด้วยเจตนาดี บริสุทธิ์ใจ เขารับทรัพย์เราไปแล้ว เขาจะนำไปทำอะไรต่อ บุญบาปก็เขาเองที่ต้องรับเองทั้งหมด...
:::::::
ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทำให้มนุษย์ได้รับความเสียหายทั้งทรัพย์สิน และชีวิต..
สิ่งแรกที่ควรกระทำคือ ความเมตตา ย่อมเกิดขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติธรรมก่อนใดอื่น เมื่อจิตมีความเมตตาแล้ว จึงจะคิดหาวิธีให้ความกรุณาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ หากแม้ว่าผู้ประสพภัยได้รับความช่วยเหลือจนปลอดภัยแล้ว ก็มีจิตมุทิตา ยินดีพอใจที่เขาได้พ้นทุกข์ แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากที่อื่นที่ไม่ใช่เรา หากแม้นว่าการช่วยเหลือของเราที่อุตส่าห์ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่สามารถทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเกิดความพอใจได้ หากเขาขัดแย้ง ด่าว่าเราจนอาจพาให้เกือบหมดกำลังใจแล้ว ให้ใคร่ครวญว่า ที่เรากระทำหน้าที่ช่วยเหลือเขามาอย่างเต็มที่แล้ว(ทบทวนตามที่ได้อธิบายมาด้วยความเมตตา, กรุณา และมุทิตาแล้ว) สิ่งที่ควรกระทำไว้ในจิตใจเราคือ อุเบกขา...
เราอย่าไปทำอย่างผิดขั้นตอน เช่น ยังไม่ทำอะไรๆ ก็อุเบกขาๆ 

ปล่อยวาง ก็วางด้วยจิต มือก็ทำ กายก็ช่วย แต่ใจไม่ได้มุ่งหวังว่าต้องได้รับทั้งคำชม และคำด่า... ขอเป็นกำลังใจแก่ทั้งผู้ประสพภัย และ ผู้ให้ความช่วยเหลือทั้งหมด.. สาธุ
:::::::
เกิด แก่ เจ็บ ตาย...
เราสามารถพบได้ในที่แห่งนี้
สัจจะธรรมของชีวิต มีที่นี่สามารถแสดงให้เราได้รู้ ได้เห็นด้วยตนเอง ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะพบ"ธรรมะ"
....
โลกนี้ล้วนมีสิ่งนี้เป็นธรรมดา ไม่สามารถพ้นไปได้ คือ "ทุกข์"
ความเกิด แก่ ตาย เป็นทุกข์
ความโศก ระทมใจ คิดถึง ห่วงใย เจ็บไข้ได้ป่วย เสียใจ เศร้าใจ หงอยเหงา น้อยใจ กังวลกับสิ่งทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทุกข์
ได้รับสิ่งที่ไม่ต้องการ ก็เป็นทุกข์
ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์
คิดหวังอะไรไม่เป็นอย่างที่คิด ก็เป็นทุกข์
ว่าโดยย่อ การยึดสิ่งที่ประกอบว่าเป็นตัวเราทั้ง ๕ อย่างนั่นแหละ เป็นความทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงสอนปัญจวัคคีย์ไว้เช่นนี้ แล้วกล่าวต่อไปว่า
เหตุที่ทำให้เราทุกข์ก็เพราะตัณหาคือความอยากที่อยู่ภายในจิตใจเรานั้น ทำให้จิตมันเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ต่างๆอย่างไม่มีเวลาหยุด ก็ได้แก่ 
ความอยากได้ในสิ่งที่ยังไม่ได้
ความอยากครอบครองในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
และความอยากทำให้สิ่งไม่ชอบหมดไป
หากแต่สิ่งที่ดับทุกข์ต่างๆลงได้ยังมีอยู่ ด้วยจิตที่สำรอกตัณหาภายในออกไปทั้งหมดไม่มีเหลือ ด้วยการสละออกไป ไม่ยุ่งไม่เกี่ยว ไม่ติดข้องพัวพันอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง
และทางดำเนินไปให้ถึงได้มีอยู่ คือ การปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องทั้ง ความเห็น ความคิด คำพูด การกระทำ การทำมาหากิน ความเพียร สติ และ สมาธิ
....
สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็นพระสูตรในธรรมจักรฯ
....
ย้อนมาที่เรื่องที่แชร์นี้ ถ้าเราสังเกตุจะเห็นว่า แม้แต่ รพ.ที่ช่วยแก้ทุกข์ให้คนอื่น แต่ตนก็ยังมีทุกข์อยู่อย่างชัดเจน
เพราะ หมอ ก็ยังอยากให้คนไข้หายป่วย ได้รับการบริการที่ดีๆ
(นี่แหละ ทุกข์เพราะตัณหาคิดหวังแม้ในทางที่ดี เมื่อได้รับผลไม่เป็นดังใจหวัง จึงเกิดทุกข์)
แต่ในทางโลกแล้ว ก็ต้องกระทำเช่นนี้ แม้แต่ทางธรรมก็ต้องทำเช่นนี้
แต่ต่างกันอยู่นิดเดียว ที่ทำให้ผลลัพธ์ต่างกันราวฟ้ากับดินคือ
ทางธรรม "ทำไปอย่างดีที่สุดด้วยความเป็นหน้าที่เท่านั้น" นี่คือ "ปล่อยวาง"
นี่แหละน่าเสียดายที่คนเรียนธรรมะมักไม่ถึงแก่นแท้ของความปล่อยวาง ชอบไปเอา "ปล่อยปละละเลย"มาใช้กันจนใครๆเข้าใจว่าธรรมะสอนให้ปล่อยวางๆ
ถ้าใครดูเรื่องนี้แล้ว ต้องปล่อยวางแบบช่วยนะ อย่าไปปล่อยแบบช่าง!ล่ะ!

สาธุ
:::::::::
สิ่งที่ในหลวงทรงค้นพบแล้วด้วยดวงพระหฤทัยอันเต็มเปี่ยมด้วยธรรมะที่ลึกซึ้งและสูงส่งนี้
หากว่าพระองค์ปราถนาจะพ้นทุกข์ไปเฉพาะตนผู้เดียวแล้ว ย่อมเป็นเรื่องไม่ยากลำบากอะไรเลย!
แต่เพราะความปราถนาอันแรงกล้า ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาอย่างยาวนานในอดีตกาล ที่จะนำพาเอาผู้ที่พอจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ไปด้วยกันได้ มาฝึกหัดสะสมบารมีให้เต็มแล้วไปบรรลุธรรมในพุทธกาลเดียวกัน

พระองค์จึงยอมเสียสละ เพื่อจะทนทุกข์ยากลำบาก ที่จะมาเกิด-ตาย ๆ ๆ ๆ ๆ... จนนับชาติไม่ได้ เพื่อช่วยเหลือสั่งสอนบรรดาบริวารทั้งหลายของท่านให้มีบารมีแก่กล้า ให้เต็มที่ และบรรลุธรรมอันสูงสุดพร้อมกับพระองค์ในที่สุด... คงอีกไม่กี่ชั่วพุทธันดร!!!
::::
#แม่
คือผู้ให้กำเนิด
#มนุษย์ คือสัตวโลกที่เกิดในครรภ์
แม่เป็นผู้ที่เราได้ร่างกาย ได้ชีวิต ได้ที่กิน ได้ที่นอน ได้ที่ขับถ่าย ได้ที่หลบร้อน,หลบหนาว,หลบฝน
เวลาลูกหิว แม่ก็กินแล้วย่อยอาหารผ่านสายรกเข้าสะดือลูก
เวลาลูกถ่าย ก็ถ่ายออกสายรก ให้แม่เอาออกไปทิ้ง
อยู่อย่างนั้นมาตลอดประมาณ ๙ เดือน จนร่างกายเจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรงแล้วจึงจะได้ลืมตาออกมาดูโลก
......
วันนี้ ประเทศชาติไทยเรายกย่องผู้มีความกตัญญูกตเวที จึงจัดงานส่งเสริมให้ลูกๆทั้งหลายได้หันกลับไปดูแลพ่อแม่ผู้เปรียบได้กับพระอรหันต์ของบุตร
แม้ตัวอาตมาเอง ก็มีแม่ให้กำเนิดมามีชีวิตเช่นกัน
มิได้กลับไปกราบไหว้ใกล้ชิดอะไรๆทั้งนั้น
มีแต่กระทำหน้าที่ของตนในการรักษาพระธรรมวินัย ทำข้อวัตรต่างๆตามหน้าที่ เจริญภาวนา นั่งสมาธิ ตรึกคิดถึงพระคุณที่เราได้ชีวิตมาเพราะพ่อให้ดิน แม่ให้น้ำ เมื่อผสมกันแล้ว ก็อาศัย ลมจากแม่ ไฟจากแม่ รักษาให้รูปนามนี้เจริญวัยขึ้น ได้คลอดออกมาดูโลก แม่ก็เอานมให้ดื่ม พ่อก็หารายได้มาให้แม่กิน,ใช้ เพื่อดูแลรักษาเราจนนอนคว่ำได้ นอนหงายได้ คลานได้ เดินได้ วิ่งได้ พูดได้ หากินเลี้ยงชีพได้เป็นเบื้องต้น จนเติบโตมาถึงทุกวันนี้
พิจารณาตามธรรมแล้ว เรานี้ได้เจริญอยู่ในศีล ในธรรม ในพระวินัย มุ่งกระทำความบริสุทธิแห่งใจให้ปรากฎ ตามหลักแห่งพุทธศาสนานี้แล้ว
บุญบารมีของเราก็สามารถจะทดแทน ข้าวป้อนน้ำนม ตลอดจนถึงบุญคุณแห่งแผ่นดินนี้ได้ทั้งหมด
เพราะอะไร?
เพราะพระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ในหมู่แห่งสัตว์ทั้งหมดในจักรวาล จะหาผู้รู้แจ้งในธรรมนั้นแสนยาก เปรียบดังเขาโคกับขนโค
เมื่อมีผู้สามารถรู้แจ้ง หรือพยายามทำความรู้แจ้งให้ปรากฎสักหนึ่งเดียวเกิดขึ้นมาในโลก เขาผู้นั้นย่อมเป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ทั้งหลายให้สามารถพ้นทุกข์ตามมาได้อีกหลายชีวิต
ก็เช่นนั้น ผู้นั้นก็ย่อมเป็นหลักให้พ่อแม่ของตนได้พึ่งพิงทางจิตใจได้อย่างแท้จริง เช่นนี้แล้ว เมื่อพ่อแม่ให้ที่พึ่งทางกาย เราก็ตอบแทนโดยให้ที่พึ่งทางใจ ก็แม้แต่แผ่นดินที่เราเกิด ท่านให้การปกครองทางกายให้เราเป็นสุข เราก็ตอบแทนคือเป็นที่พึ่งปกครองจิตใจแก่ผู้เห็นประโยชน์ในธรรมนี้กลับคืนไปเช่นกัน
.....
เท่านี้ ก็เป็นอันสามารถตอบแทนให้แล้ว แต่มิใช่จะปล่อยวางให้ท่านดำเนินชีวิตไปตามยะถากรรมอะไร..

เมื่อโอกาสตามเหตุตามปัจจัยจะต้องเกื้อกูล ก็จะพิจารณาตามความเหมาะแก่เหตุ สาธุฯ...
::::::::::
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
หมดลาภ ไร้ยศ นินทา ทุกข์
สิ่งเหล่านี้เป็นของประจำโลก
เราเกิดมาก็ต้องพบกับสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น
หลีกไม่ได้ เลี่ยงไม่พ้น
.........
แล้วพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร? ให้พ้นจากสิ่งเหล่านี้หรือไม่?
อาตมาตอบได้เลยว่า "ไม่ใช่"
หากเราพากัน สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา หาเลข หาโชค หาลาภ เพื่อให้หมดทุกข์หมดโศก หมดโรค หมดภัย  ได้ตำแหน่งหน้าที่ แคล้วคลาดปลอดภัย ได้ลาภลอย ฯลฯ ที่ว่ามานี้ไม่ใช่คำสอนของพุทธศาสนา
.....
ก็ธรรมดาคนเกิดมาย่อมต้องการความสุขสมหวังกันทั้งนั้น ถ้าพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ได้รับสุขจากสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะนับถือ หรือเข้ามาศึกษาปฏิบัติกันไปทำไม?
คำตอบที่ยากจะตอบเช่นกัน ในความรู้ของตัวอาตมาเอง แต่จะพยายามจะอธิบายให้พอเห็นทางได้บ้าง แต่อาจจะไม่สามารถทำให้เห็นเป้าหมายได้ชัดเจนนัก
.... ตอบตามความเข้าใจว่า....
ความสุขที่เราได้รับอยู่ทุกขณะนี้ เป็นสุขที่ไม่เที่ยงแท้ มันจะสลับกับทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสังเกตุให้ดี
เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวร้อน เย็นสบายก็แค่ชั่วครู่เดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยน
หิวข้าว หิวน้ำ หิวสารพัด พอได้กิน ก็อิ่มอร่อยได้ไม่นาน ก็อยากกินอีก
นอนมากไป นอนน้อยไปก็แย่ นอนพอเต็มตื่นก็ค่อยยังชั่ว
มีเงินน้อยก็ไม่พอใช้ มีเงินมากก็คิดเรื่องค่าใช้จ่ายเอย! เรื่องการเก็บรักษา เรื่องความปลอดภัยต่างๆ มีพอกินพอใช้คงจะดี
เป็นลูกน้องก็อึดอัด เป็นหัวหน้าก็ปวดหัว ไม่มีหน้าที่ก็ไม่มีรายได้อีก
ไม่มีคนรู้จักก็อยากจะดัง พอดังก็อยากจะหลบ
สารพัดเรื่อง เขียนไม่หมด
สุขที่เราต้องการจะให้มี ให้เกิดขึ้นแก่เรา คือ เวทนาขันธ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแยกไว้ว่า เวทนาคือกองหนึ่ง หรือหมวดหนึ่ง ใน ๕ หมวดที่จิตใจเรายึดถือเอาไว้ ประกอบเป็นตัวเรา จึงคิดว่า 'เราคือตัวเรา' หรือ 'ตัวเราคือเรา'
เพราะอยากได้รับสุขเวทนา เราดิ้นรนหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
แต่ระหว่างการดิ้นรนนั้น สิ่งตรงข้ามกันย่อมเกิดขึ้นแบบไม่อยากให้เกิด
พระพุทธเจ้าจึงเรียก คู่แห่งสิ่งเหล่านี้ว่า 'โลกธรรม ๘' คือสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นประจำโลก
และทรงสอนต่อไปว่า การคลายความยึดมั่นที่จะดิ้นรนเอาแต่สุขเวทนานั้นเสียเถิด แล้วยอมรับความจริงที่มันย่อมจะเกิดทั้งหมด ไม่ว่าจะดีจะร้าย จะสุขจะทุกข์ต่างๆให้หมด
ตั้งใจทำทุกสิ่งด้วยสติพิจารณาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล แล้วให้ละอกุศลทั้งปวง ให้ทำแต่กุศลทั้งปวง ส่วนผลก็ทำใจเอา ไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้ดี
.....
สรุปว่า ไม่ต้องไปสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาอะไรๆก็ได้ เพราะใครไปทำแล้วต้องถูกแนะนำให้ไปถวายสังฆทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา แล้วแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ ที่เป็นกุศลเกือบทั้งนั้น อาจเป็นกุศโลบายของท่านเจ้าพิธีที่ต้องการให้เสียสละทำทาน ทำบุญทางหนึ่งก็ได้
แต่หากเรามีปัญญาตามพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ ก็ทำบุญไว้เสมอๆ แผ่เมตตาเป็นประจำ ศึกษาวิธีปฏิบัติเจริญภาวนาในมรรค ทำให้เห็นอริยสัจจ์
ความสุข ที่เกิดขึ้น ก็มิใช่เวทนาที่เป็นสุข
เช่นทั้งๆที่ทำงานอยู่ร้อนๆ หน้าเตาอบ ก็สุขได้
ไม่มีเงิน ไม่มีทองอะไร ขอบิณฑบาตรเขากินเขาใช้ ไม่มีอะไรที่เป็นเจ้าของ ก็สุขอยู่ด้วยปัญญาที่มองเห็นแล้วทำจิตให้อยู่เหนือสุข เหนือทุกข์
ใครจะด่า ใครจะว่า ใครจะชม ใครจะนินทา ก็เป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของโลก เป็นธรรมดาของโลก

รับรู้แล้วก็มิได้ยึดถืออะไรไว้ ปล่อยทิ้งหมดในอารมณ์ต่าง มีสติพิจารณาว่าอะไรควรไม่ควรทำ ไม่ควรพูด ก็ละก็ทำมันไปอย่างนั้น เท่านี้แหละที่พออธิบายให้เห็นทางได้ ส่วนเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายก็แล้วแต่ว่าใครจะเข้าใจเอาเองแล้วกันเน้อ!!!! หมดภูมิจะอธิบายแล้ว... สาธุฯ

วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

พระคุณแม่


พระคุณแม่
/////
แม่สละสวย สละสาว คราวอุ้มท้อง 
แม่ไม่ร้อง แม่ไม่บ่น แม่ทนได้
แม่เฝ้าถนอม จนครรภ์แก่ แม่เต็มใจ
จะหาใคร เหมือนแม่ แพ้ทุกคน
ครบเก้าเดือน เคลื่อนคลอด รอดชีวิต 
แม่ใกล้ชิด ลูกน้อย คอยฝึก้ฝน 
แม่ลำบาก อย่างไร ใจแม่ทน 
สายเลือดข้น เต้าแม่กลั่น ปันลูกกิน
แม่ป้องริ้น ป้องไร มิให้ผ่าน 
แม่สงสาร ห่วงลูกยา กว่าทรัพย์สิน 
แม่เห่กล่อม ยามนิทรา เป็นอาจิณ
แม่ไม่ผิน แม่ไม่ผัน ทุกวันมา 
ยามลูกสุข แม่สุขสม อารมณ์ชื่น 
ยามลูกขื่น แม่ขม ระทมกว่า
ยามลูกไข้ แม่อดนอน ร้อนอุรา
ยามลูกยา อับโชค แม่โศกใจ
คราลูกหิว แม่หิวกว่า น้ำตาร่วง 
แม่เป็นห่วง ดิ้นรนหา เอาม้าให้ 
แม้แม่อด หมดข้าวปลา ไม่ว่าไร 
แม่สละได้ ลูกอิ่มแปร้ แม่ทนเอา 
ใครไหนเล่า เฝ้าอบรม บ่มนิสัย
แม้เติบใหญ่ ไม่ท้อถอย คอยนั่งเฝ้า
พระคุณเลิศ ลูกโศก ช่วยบรรเทา 
ใครไหนเล่า รักมั่นแท้ แม่ฉันเอง
%%%%%%%
งานวันเกิดยิ่งใหญ่ใครคนนั้น
ฉลองกันในกลุ่มผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศสรรเสริญเพลินทะนง
วันเกิดส่งชีพสิ้นเร่งวันตาย
          ณ มุมหนึ่งซึ่งเหงาน่าเศร้าแท้
หญิงแก่ๆ นั่งหงอยและคอยหา
โอ้วันนี้ในวันนั้น อันตราย 
แม่คลอดสายโลหิตแทบปลิดชนม์
          วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่
เจ็บท้องแท้เท่าไหร่ก็ไม่บ่น
กว่าอุ้มท้อง กว่าจะคลอด รอดเป็นคน
เติบโตจนบัดนี้นี่เพราะใคร
          แม่เจ็บเจียนขาดใจในวันนั้น
กลับเป็นวันลูกฉลองกันผ่องใส
ได้ชีวิตแล้ก็หลงระเลิงไป
ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา
          เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดนะ
ควรแต่จะคุกเข่ากราบเท้าแม่
ระลึกถึงพระคุณอบอุ่นแท้
อย่ามัวแต่จัดงานประจานตัว
////////
พระคุณของแม่
พระคุณแม่เลิศฟ้ามหาสมุทร                          
พระคุณแม่สูงสุดมหาศาล
พระคุณแม่เลิศกว่าสุธาธาร                             
ใครจะปานแม่ฉันนั้นไม่มี
อันพระคุณใครใครในพิภพ                             
ยังรู้จบแจ้งคำมาพร่ำขาน
แม่พ่อคุณต่อบุตรสุดประมาณ                        
ขอกราบกาลระลึกถึงซึ่งพระคุณ
เจ้าข้าเอ๋ยใครหนอใครให้กำเนิด                      
จึงก่อเกิดเติบใหญ่ด้วยไออุ่น
กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาด้วยการุณย์                
ช่วยค้ำจุนจนรอดพ้นเป็นคนมา
ถึงลำบากร่ายกายใจห่วงลูก                           
ด้วยพันธ์ผูกดวงใจให้ห่วงหา
หัวอกใครจะอุ่นเท่าอีกเล่านา                          
คอยปลอบเช็ดน้ำตาคราระทม
เป็นแดนใจใสสะอาดปราศกิเลส                     
เป็นสรรเพชรของบุตรวิสุทธ์สม
ความรักเปลี่ยมเมตตาน่านิยม                        
ประดุจลมโชยเย็นใครเห็นดี
หอบสังขารทำงานเลี้ยงลูกน้อย                       
เกรงจะด้อยใจทราบต่ำศักดิ์ศรี
จึงส่งให้ได้ศึกษาวิชามี                                   
ให้ได้ดีกว่าแม่พ่อหวังรอคอย
เหมือนนกกาหาเหยื่อมาเผื่อลูก            
 เปรอความสุขหาทรัพย์ไว้ให้ใช้สอย
ยามไกลพรากจากอุราตั้งตาคอย                     
ใจละห้อยนอนสะอื้นขื่นขมทรวง
กว่าลูกลูกจะสำนึกพระคุณท่าน                      
ช่างเนินนานบ้างชิวาลาลับล่วง
บ้างก็ป่วยจนแทบสิ้นแดดวง                          
 ลูกจึงห่วงเอาใจใส่ในกายา
อย่าให้รอใกล้ตายจึงกายใกล้                         
เป็นศพไปจึงรู้บุญคุณท่านหนา
ยามท่านอยู่ควรรู้ชัดสร้างศรัทธา                     
ตอบแทนคุณมารดาบิดาเอย
*ขอน้อมนอบหมอบกราบเท้าพระแม่แก้ว        
สำนึกแล้วความเลวเคยเหลวไหล
ลูกซึ้งแล้วแนววิถีที่เป็นไป                               
แม่ช้ำใจเพราะลูกมาจนชาชิน
ลูกสร้างกรรมทำบาปกราบเท้าแม่                             
ซึ้งใจแท้แม่อภัยให้หมดสิ้น
น้ำตาแม่แต่ละหยดที่รดริน                             
ลูกถวิลดังน้ำกรดลดหัวใจ
ลูกขอบวชแทนพระคุณคุณแม่แล้ว                  
ร่มโพธิ์แก้วโพธิ์ทองของลูกเอ๋ย
อันกุศลผลบุญที่คุ้นเคย                                  
ขอชดเชยคุณแม่ท่านกตัญญู
^^^^^^^
       รักใดเล่าเท่ารักแม่
 รักใดเล่า          รักแน่          เท่ารักแม่ 
ผูกสมัคร           รักมั่น         ไม่หวั่นไหว     
ห่วงใดเล่า         เท่าห่วง       ดังดวงใจ 
ที่แม่ให้             กับลูก         อยู่ทุกครา  

*ยามลูกชื่น        แม่ชม         ตรมหลายเท่า 
ยามลูกเศร้า        แม่โศก        วิโยคกว่า 
ยามลูกหาย         แม่ห่วง        ดังดวงตา
ยามลูกมา           แม่หมด        ลดห่วงใย 
....
"พ่อแม่ก็แก่เฒ่า   
จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน   
เพียงเสี้ยววารของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก   
เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนนาน   
ย่อมร้าวรานสลายไป 

 ขอเถิดถ้าสงสาร   
อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย   
ย่อมเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า   
เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน   
คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ 

  เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง  
ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้  
ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่   
แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ผล  
 เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษถ้าทำผิด   
ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ  
หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง   
มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป  
 ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง"

พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู


มหากษัตริย์ยอดกตัญญู ในหลวงของเรา…

ขอขอบคุณบทความโดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน

ลูก ๆ ทุกคน… ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ

ที่นี้… มาดูตัวอย่างบ้าง…บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือคนในภาพนี้… ในหลวงของเรา…
ในหลวง… นอกจาก จะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก… เป็นTHE KING OF KINGS แล้ว ในหลวง ของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่…ทั้ง 3 หวัง ในหลวงปฎิบัติได้ครบถ้วน…สมบูรณ์ เป็น ตัวอย่างที่ดีที่สุดให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยังไง? ตามอาจารย์มา…อาจารย์ จะฉายภาพให้เห็น
หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า…เฝ้ารับใช้… ใครเคยเห็นภาพที่… สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง… ประคองเดินไปตลอดทาง… เคยเห็น ไหม…? ใครเคยเห็น…กรุณายกมือให้ดูหน่อย… ขอบคุณ…เอามือลง
ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย…มีคนเยอะแยะ… มีทหาร… มีองครักษ์…มีพยาบาล… ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า…

“ไม่ต้อง…คนนี้…เป็นแม่เรา…เราประคองเอง”
ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา… สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน…เพราะฉะนั้น ตอนนี้แม่แก่แล้ว… เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน…ไม่ต้องอายใคร… เป็นภาพที่…ประทับใจมาก… เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่… ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ… สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น… 8,000 คน ยกมือขึ้น…สาธุ แซ่ซ้อง…สรรเสริญ
“กษัตริย์ยอดกตัญญู”

ในหลวง…เดินประคองแม่… คนเห็นแล้ว… เขาประทับใจ ถ่ายรูป…เอามาทำปฎิทิน …เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อแสดงความเคารพ…กราบไหว้…
ลองหันมาดูพวกเรา…ส่วนใหญ่ เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้…ลูกชาย… แต่งตัวโก้…ลูกสาว…แต่งตัวสวย… แต่เวลาเดิน…ไม่มีใครประคองแม่… กลัวไม่โก้… กลัวไม่สวย… ข้าราชการ…แต่งเครื่องแบบเต็มยศ… ติดเหรียญตรา…เหรียญกล้าหาญ… เต็มหน้าอก… แต่เวลาเดิน…ไม่กล้าประคองแม่… กลัวไม่สง่า…กลัวเสียศักดิ์ศรี… ประคองแม่…เป็นเรื่องของ…คนใช้…หลายคน…ให้ประคองแม่…ไม่กล้าทำ อาย… เวลาทำดี…ไม่กล้าทำ…อาย, เวลาทำชั่ว…กล้า…ไม่อาย…ใครเห็นภาพนี้ ที่ไหน…กรุณาซื้อใส่กรอบ…แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน… เอาไว้สอนลูก เห็นภาพ ชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น …ยังน้อยไป…มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น…

หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า…เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา… ของสมเด็จย่า… มาแถลงในที่ประชุม…ต่อหน้าสื่อมวลชน…ว่า… ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์ปีเศษ ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง…เสด็จจากวังสวนจิตร… ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ…? ไปกินข้าวกับแม่ ไปคุยกับแม่…ไปทำให้แม่…ชุ่มชื่น หัวใจ… พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง…
โอ้โห!…ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่… สัปดาห์ละกี่วัน…ทราบไหมครับ? พวกเราทราบไหมครับ…สัปดาห์ละกี่วัน?… 5 วัน มีใครบ้างครับ…? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่…สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก…..
ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย… เป็นพันโครงการ… มีเวลาไปกินข้าว กับแม่… สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก…พลตรี…อธิบดี… ปลัดกระทรวง…ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่… บอกว่า…งานยุ่ง แม่บอกว่า… ให้พาไปกินข้าวหน่อย… บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ… ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว… แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ…เห็นตัวเองหรือยัง…?
พ่อแม่…พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง …ฝนตก…น้ำเซาะ…อีกไม่นานก็โค่น… พอถึงวันนั้น… เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว… ในหลวงจึงตัดสินพระทัย…ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่ สมเด็จย่าอายุ…93 สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วันไปไหน ครับ…? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์…องคมนตรี บอกว่า… ในหลวงถือศีล 8 วันพระ …ถือศีล 8 นี่ยังไง…? ต้องงดข้าวเย็น… เลยไม่ได้ไปหาแม่… วันนี้เพราะถือศีล อีกวันหนึ่งที่เหลือ… อาจจะกินข้าวกับ พระราชินี…กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน… ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม…?

ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว…ทุกครั้ง…ที่ในหลวง ไปหาสมเด็จย่า…ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก…แล้วสมเด็จย่า…ก็จะดึงตัวในหลวง… เข้ามากอด… กอดเสร็จก็หอมแก้ม… ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงบ้าง…?
ภาพนี้…ถ้าใครมี… ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่…ที่มีต่อลูก…อย่างยอดเยี่ยม ตอนสมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวง… อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง…คงไม่หอมเท่าไร…เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม… สมเด็จย่าหอมแล้ว…ชื่นใจ… เพราะ ท่านได้กลิ่นหอม… จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญ
ไม่นึกเลยว่า…ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า…ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา…สามัญชน …เป็นเด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์… เหมือนเด็กหญิงทั่วไป… เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงหน่ะ…เกิดมาเป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์…เป็น พระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง… ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน… ก้มลงกราบ…คนธรรมดา… ที่เป็นแม่ หัวใจลูก… ที่เคารพแม่… กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว…
คนบางคน… พอเป็นใหญ่เป็นโต ไม่กล้าไหว้แม่… เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ…เป็นชาวนา… เป็น ลูกจ้าง… ไม่เคารพแม่…ดูถูกแม่
แต่นี่…ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว… นี่แหละครับความหอม

นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า…หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง… ท่านหอมความดี… หอมคุณธรรม…หอมกตัญญู… ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว…ก็ร่วมโต๊ะเสวย …
ตอนกินข้าวนี่…ปกติ.. .แค่เห็นลูกมาเยี่ยม…ก็ชื่นใจแล้ว…
นี่ลูกมากินข้าวด้วย…โอย…ยิ่งปลื้มใจ
แม่ทั้งหลาย…ลองคิดดูซิ…อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่…อันนี้ อร่อย…แม่ลองทาน… รู้ว่าแม่ชอบทานผัก… หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อนแม่… เอ้าแม่ …แม่ทานซะ…ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ ก็เจริญอาหาร…กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความสุขที่ลูกดูแล…เอาใจใส่…
กินข้าวเสร็จแล้ว…ก็มานั่งคุยกับแม่… ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง… ทราบไหม…? ตอนในหลวงเล็ก ๆ…แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ…“อยากฟังแม่สอนอีก” เป็นยังไงบ้าง…?
เป็นกษัตริย์…ปกครองประเทศ… อยากฟังแม่สอนอีก… พวกเรา เป็นยังไง…? เราคิดว่า…เรารู้มาก …เราเรียนสูง…เรามีปริญญา… แม่จบ ป.4 เวลาแม่สอน…ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจะตายอยู่แล้ว… รำคาญ…พูดจาซ้ำซาก… เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที… เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่…
สมเด็จย่าสอน…ในหลวงจะเอากระดาษมาจด… มีอยู่เรื่องหนึ่ง… ที่จำได้แม่น… สมเด็จย่า…เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss ในหลวงยังเล็กอยู่ …เข้ามาบอกว่า…อยากได้รถจักรยาน เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน

แม่บอกว่า “ลูกอยากได้จักรยาน… ลูกก็เก็บสตางค์… ที่แม่ให้ไปกินที่ โรงเรียนไว้ซิ” …เก็บมาหยอดกระปุก… วันละเหรียญ…สองเหรียญ พอได้มากพอ… ก็เอาไปซื้อจักรยาน…
นี่คือสิ่งที่แม่สอน…แม่สอนอะไร…ทราบไหมครับ…?
ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน…พอลูกขอ…รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย… ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ… ฟุ่มเฟือย… เหลิง… และหลงตัวเอง
พอโตขึ้น…ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ…ก็ได้… ยิงตำรวจ…ยังได้… เพราะหลงตัวเอง… พ่อตนใหญ่ เห็นไหม…? ตามใจ เทิดทูน จนเสียคน…
แต่สมเด็จย่านี่…เป็นยอดคุณแม่… สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก…ลูกอยากได้ …ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้… ไปหย่อนกระปุก… แม่สอน 2 เรื่อง คือ…ให้ประหยัด…ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
“ความประหยัด…เป็นสมบัติของเศรษฐี” ใครสอนลูกให้ประหยัดได้… คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
พอถึงวันปีใหม่… สมเด็จย่าก็บอกว่า… “ปีใหม่แล้ว…เราไปซื้อจักรยานกัน…” “เอ้า…แคะกระปุก…ดูซิมีเงินเท่าไหร่…?” เสร็จแล้ว…สมเด็จย่าก็แถมให้… ส่วนที่ แถมนะ… มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก…
มีเมตตา…ให้เงินลูก… ให้…ไม่ได้ให้เปล่า… สอนลูกด้วย…สอนให้ประหยัด สอนว่า…อยากได้อะไร… ต้องเริ่มจากตัวเรา… คำสอนนั้น…ติดตัวในหลวงมาจน ทุกวันนี้…
เขาบอกว่า…ในสวนจิตรเนี่ย… คนที่ประหยัดที่สุด…คือ…ในหลวง… ประหยัดที่สุด… ทั้งน้ำ…ทั้งไฟ… เรื่องฟุ้งเฟ้อ…ฟุ่มเฟือย..ไม่มี …เป็นอันว่า… ภาพนี้ชัดเจน…

หวังที่ 2. ยามป่วยไข้… หวังเจ้า… เฝ้ารักษา ดูว่าในหลวง ทำกับ แม่ยังไง…? สมเด็จย่า…ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช… ในหลวงไปเยี่ยม… ตอนไหนครับ…? ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ…จึงเสด็จกลับ… ไปเฝ้าแม่วันละ หลายชั่วโมง…
แม่…พอเห็นลูกมาเยี่ยม…ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า… เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ ก็ต้องฟิต …ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอดเวลาว่า… จะให้ยายังไง…จะเปลี่ยนยาไหม…? จะปรับปรุงการรักษายังไง…ให้ดีขึ้น… ทำให้สมเด็จย่า… ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น… เห็นภาพไหม…?
กลางคืน…ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า…คืนละหลายชั่วโมง…ไปให้ความ อบอุ่นทุกคืน ลองหันมาดูตัวเราเองซิ… ตอนพ่อแม่ป่วย… โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง ถามว่า…ตอนนี้…อาการเป็นยังไง…? พ่อแม่…ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว…โผล่หน้าไปให้เห็น พอแค่เป็นมารยาท… แล้วก็กลับ… เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู… เราไม่ได้ไปเพื่อ ทดแทนพระคุณท่าน…น่าอายไหม…?
ในหลวง…เสด็จไปประทับกับแม่… ตอนแม่ป่วย…ไปทุกวัน… ไปให้ความ อบอุ่น…ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง… นี่คือ…สิ่งที่ในหลวงทำ
คราวหนึ่ง…ในหลวงป่วย… สมเด็จย่า…ก็ป่วย … ไปอยู่ศิริราช…ด้วยกัน …อยู่คนละมุมตึก… ตอนเช้า… ในหลวงเปิดประตู….แอ๊ด…..ออกมา… พยาบาลกำลัง เข็นรถสมเด็จย่า… ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวง…พอเห็นแม่… รีบออกจากห้อง… มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก …กราบทูลว่า ไม่เป็นไร…ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า…
“แม่ของเรา…ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น…เราเข็นเองได้…”
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน… เป็นกษัตริย์… ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว…ป้อนน้ำให้แม่… ป้อนยาให้แม่ ให้ความอบอุ่นแก่แม่… เลี้ยงหัวใจ แม่… ยอดเยี่ยมจริง ๆ … เห็นภาพนี้แล้ว….ซาบซึ้ง
มาตามดูต่อ….

หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม…ต้องตาย…วายชีวา …หวังลูกช่วย….ปิดตา …เมื่อสิ้นใจ วันนั้น…ในหลวง…เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน… จับมือแม่…กอดแม่…ปรนนิบัติแม่… จนกระทั่ง…”แม่หลับ…” จึงเสด็จกลับ
พอถึงวัง… เขาโทรศัพท์มาบอกว่า… สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์… ในหลวง…รีบเสด็จกลับไป…ศิริราช… เห็นสมเด็จย่านอนหลับตาอยู่บนเตียง… ในหลวง ทำยังไงครับ…?
ในหลวงตรงเข้าไป… คุกเข่า…กราบลงที่หน้าอกแม่… พระพักตร์ในหลวง…ตรงกับหัวใจแม่… “ขอหอมหัวใจแม่…เป็นครั้ง สุดท้าย…” ซบหน้านิ่ง…อยู่นาน… แล้วค่อย ๆ เงยพระพักตร์ขึ้น…. น้ำพระเนตรไหลนอง….
ต่อไปนี้… จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว… เอามือ…กุมมือแม่ไว้ มือนิ่ม ๆ …..ที่ ไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก…จนได้เป็นกษัตริย์… เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง…ชีวิตลูก….แม่ปั้น…
มองเห็นหวี… ปักอยู่ที่ผมแม่… ในหลวงจับหวี…ค่อย ๆ หวีผมให้แม่…หวี… หวี…หวี…. หวีให้แม่สวยที่สุด… แต่งตัวให้แม่…ให้แม่สวยที่สุด… ในวันสุดท้าย ของแม่….
เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์เป็นที่สุด… เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู…. หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว…..
กษัตริย์…..ยอดกตัญญู
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

คัดลอกจากหนังสือ
หยุดความเลว…ที่…ไล่ล่าคุณ โดย พ.อ.(พิเศษ)ทองคำ ศรีโยธิน

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

พ่อแม่รังแกฉัน


พ่อแม่รังแกฉัน ของพระยาอุปกิตศิลปสาร
เป็นบทกลอนหนึ่งจากในหนังสือ "คำประพันธ์บางเรื่อง" โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การเลี้ยงลูกโดยตามใจลูกทุกอย่าง เป็นกลอนที่ยังใช้ได้ดีในปัจจุบัน เพื่อเตือนใจพ่อแม่บางคนที่เลี้ยงดูลูกโดยตามใจจนเกินไป ....

มีซินแสแก่เฒ่าได้เล่าไข  
ถึงเรื่องงิ้วว่าเล่นกันเช่นไร    
มีข้อใหญ่นั้นก็เป็นเช่นละคร
แต่ข้อหนึ่งแกเล่าเขาประสงค์   มุ่งจำนงในข้างเป็นทางสอน
ชี้ทางธรรม์มรรยาทแก่ราษฎร   เหมือนละครสุภาษิตไม่ผิดกัน
เราบวชนาคโกนจุกในยุคก่อน   มีกล่าวกลอนเพราะพริ้งทำมิ่งขวัญ
การขันหมากยุคเก่าท่านเล่ากัน   มีสวดฉันท์เรียกว่าสวดมาไลย์
เค้าก็คือท่านหวังจะสั่งสอน        แต่ผันผ่อนตามนิยมสมสมัย
มีเฮฮาพาสนุกเครื่องปลุกใจ       สมกับได้มีงานการมงคล
ในหมู่บ้านย่านกลางเมื่อปางก่อน
มีโรงสอนธรรมทานการกุศล
เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาประชาชน
ในตำบลอัตคัตไกลวัดวา
เรียกศาลาโรงธรรมประจำบ้าน
เหมือนสถานที่ฝึกทางศึกษา
บางคราวมีการกุศลปนเฮฮา
เพื่อให้พาเพลิดเพลินเจริญใจ
ฝ่ายจีนเขาได้มีอย่างที่ว่า        เอางิ้วมาฝึกหัดดัดนิสัย
ย่อมดูดดื่มซึมซาบปลาบปลื้มใจ
เหมือนอย่างได้รู้เห็นที่เป็นจริง
งิ้วเรื่องหนึ่งแกเล่าครั้งเยาว์อยู่
ได้ไปดูจำไว้ได้ทุกสิ่ง
เกาะในจิตติดแน่นแม้นกับปลิง
เลยเป็นสิ่งสอนใจจนใหญ่มา
ตามเรื่องนั้นว่ามีเศรษฐีหนึ่ง       เป็นคนซึ่งสูงชาติวาสนา
มีทรัพย์สินเหลือล้นพ้นคณนา
มีบ้างช่องแน่นหนาด้วยข้าไท
ท่านเศรษฐีมีบุตรสุดที่รัก           แกฟูมฟักใฝ่จิตพิสมัย
บุตรคนเดียวแสนจะห่วงดังดวงใจ
หวังจะให้สืบวงศ์ดำรงไป
มีโรงเรียนไกลบ้านอาจารย์สอน
กลัวลูกอ่อนลำบากไม่พรากได้
อุตส่าห์จ้างครูบามาแต่ไกล
ให้สอนในบ้านตนสู้ปรนปรือ
ฝ่ายลูกเรียนผู้เดียวให้เปลี่ยวจิต
มักเบือนบิดเบื่อชังเรื่องหนังสือ
อยากได้เพื่อนพูดจาและหารือ        
พ่อก็อือออตามด้วยความรัก
เกณฑ์พวกเด็กในบ้านให้อ่านด้วย    
ก็เพื่อช่วยชวนใจให้สมัคร
ครั้นมีเพื่อนเรียนล้อมอยู่พร้อมพรัก  
กลับชวนชักเล่นกันไม่หมั่นเรียน
ครูก็ดีจี้ไชมิได้หยุด
แกเห็นสุดเอาใจจึงได้เฆี่ยน
หวังให้กลัวอาญาตั้งหน้าเพียร
แต่กลับเพี้ยนผิดคาดถึงขาดกัน
คือบุตรท่านเศรษฐีหนีไปหา
ฟ้องพ่อว่า ครูนี้แกตีฉัน
ปลอบให้เรียนก็ไม่ไปจนใจครัน
ต้องเป็นอันเลิกกับครูที่อยู่มา
อุตส่าห์จ้างครูใหม่ตามใจลูก
แต่ไม่ถูกใจบุตรสุดจะหา
ครูคนนั้นฉันเข็ดไม่เมตตา
คนนี้ว่าจู้จี้พิรี้พิไร
แต่เปลี่ยนครูอยู่ฉะนี้ไม่มีเหมาะ
มักทะเลาะเลิกเรียนต้องเปลี่ยนใหม่
พวกครูๆ เข็ดกลัวกันทั่วไป
ถึงจะให้เงินมากไม่อยากเอา
บิดาผู้รักบุตรสุดจะกลุ้ม
ลูกเป็นหนุ่มใหญ่โตยังโง่เง่า
เที่ยวจ้างครูอยู่ห่างต่างลำเนา
จ้างเท่าไรให้เท่านั้นไม่พรั่นกลัว
แต่ก็ไม่ยืดไปเท่าไรนัก                  ประเดี๋ยวชักเหหันต้องสั่นหัว
เผอิญมาปะครูที่รู้ตัว    
แกหวังชั่วค่าสอนสู้ผ่อนตาม
ศิษย์จะรู้เท่าไรไม่ธุระ    
ชื่อเสียงจะเสียไปก็ไม่ขาม
ศิษย์ผู้ใดตั้งหน้าพยายาม
สอนให้ตามแต่รักสมัครเรียน
ครูคนนี้ถูกใจอยู่ได้ยืด  
ถึงจะจืดจางการเรื่องอ่านเขียน
ก็ถูกจิตศิษย์ตนย่อมวนเวียน
อยู่จำเนียรโตใหญ่ไร้วิชา
ฝ่ายพ่อแม่รักบุตรสุดจะรัก
บุตรสมัครทางไหนมิได้ว่า
ใช้เงินทองกอบกำไม่นำพา
อยู่ไม่ช้าแกก็ตายทำลายชนม์
ทรัพย์สมบัติมรดกตกแก่ลูก
ไม่ต้องปลูกเปลืองแรงแสวงผล
มีเพื่อนมาฮาฮือนับถือตน
เฝ้าแต่ขนทรัพย์จ่ายสบายจริง
เอาอะไรได้ทุกอย่างช่างสะดวก
จะหยิบหมวกหมวกรี่เหมือนผีสิง
ทุกอย่างรู้เอาใจไม่ประวิง  
ดูเหมือนชิงกันมาคราต้องการ
ไม่ช้านักทรัพย์ลดหมดสะดวก
จะหยิบหมวกหมวกกระเดียดข้างเกียจคร้าน
ถ้าเผลอหน่อยคอยหนีตะลีตะลาน
วิ่งเข้าร้านโรงจำนำไม่อำลา
เพื่อนทั้งมวลล้วนหายเหมือนตายจาก
ที่มีมากคือสหายพวกนายหน้า
บ้านของท่านขายเท่าไร? ให้ราคา
ผมช่วยค้าขายให้ด้วยไมตรี
เพื่อนสนุกพลุกพล่านขายบ้านช่อง
พอเงินทองหมดเรียบก็เงียบจี๋
ต่อนี้ไปใครเยือนคือเพื่อนดี
ไม่เช่นนี้เพื่อนโหล่โง่ระยำ
บุตรเศรษฐีเป็นมาถึงครานี้
ไม่เห็นมีมิตรสหายมากรายกล้ำ
ผิวผู้ดีมีกระดากพะอากพะอำ
จะคิดทำการอะไรก็ไม่เป็น
ต้องตรำตรากจากย่านถิ่นบ้านเก่า
ขอทานเขาเลี้ยงตนด้วยข้นเข็ญ
พักสถานศาลเจ้าทุกเช้าเย็น
ค่อยคิดเห็นโทษตัวที่ชั่วมา
คิดถึงเรื่องเก่าแก่พ่อแม่รัก
สู้ฟูมฟักใฝ่ฝึกให้ศึกษา
ตามใจลูกเหลือล้นคณนา
ทุกสิ่งสารพัดไม่ขัดใจ
คิดถึงครูผู้สอนแต่ก่อนเก่า
บางคนเฝ้าฝึกฝนพ้นวิสัย
บางคนเฝ้าจู้จี้พิรี้พิไร  
ไม่ถูกใจฟ้องพ่อก็อออือ
จนเหลวไหลได้เข็ญถึงเช่นนี้
พ่อแม่ที่รักลูกทำถูกหรือ
สิ่งใดพาเสียคนกลับปรนปรือ
ร้องไห้ฮือบ่นว่าเหมือนบ้าบอ
วันหนึ่งไปถึงถิ่นบ้านซินแส
ก็เดินแร่เข้าไปหาตรงหน้าหมอ
ร้องขอทานทันทีไม่รีรอ  
ฝ่ายท่านหมอมองหน้าไม่ว่าไร
ลงท้ายแกกลอกหน้าหาว่าหลอก
เฮ้ย. เจ้าวอกเอ็งอย่ามาไถล
หลอกดูลูกสาวข้าหรือว่าไร
หรือเข้าใจว่ากูไม่รู้ที
ข้าหมอดูรู้จักลักษณะ
อย่างมึงน่ะบอกเพศเป็นเศรษฐี
รูปลักษณ์พักตร์เจ้าเผ่าผู้ดี    
ทำเช่นนี้ตั้งใจอย่างไรกัน
ลูกเศรษฐีฟังว่าน้ำตาหลั่ง  
ตอบเสียงดัง ”พ่อแม่รังแกฉัน!”
ร้องไห้โฮซบหน้าพลางจาบัลย์
คนบ้านนั้นต่างพากันมาดู
ท่านเจ้าข้า! พ่อแม่รังแกฉัน    
เขาใฝ่ฝันฟูมฟักฉันอักขู
ฉันทำผิดคิดระยำกลับค้ำชู    
จะว่าผู้รักลูกถูกหรือไร
ท่านทายฉันนั้นถูกลูกเศรษฐี  
ผู้กลีเลวกว่าบรรดาไพร่
ซึ่งยังรู้กอบการงานใด ๆ    
เลี้ยงชีพได้เพียงพอไม่ขอทาน
โอ๊ย! ยิ่งเล่ายิ่งช้ำระกำเหลือ  
โปรดจุนเจือเถอะท่านหมอขอข้าวสาร
เหมือนช่วยชีพข้าเจ้าให้เนานาน
 จักเป็นการบุญล้นมีผลงาม
ฝ่ายท่านหมอฟังเล่าสิ้นเค้าเงื่อน
แกจึงเอื้อนโอษฐ์มีวจีถาม
ข้าฟังเจ้าเล่าไปก็ได้ความ    
 จึงเห็นตามพ่อแม่รังแกตรง
เข็ดหรือไม่ใครรังแกอย่างแม่พ่อ
หรือว่าพอทนดอกบอกประสงค์
โอ๊ย! หนเดียวชีวิตแทบปลิดปลง
ถ้าซ้ำสองต้องลงอวิจี
อย่ารังแกอีกเลยลูกเคยเข็ด
ขอจงเมตตาเถิดประเสริฐศรี
ท่านหมอฟังยิ้มเยื้อนเอื้อนวจี    
เจ้าว่าดีสมจริงทุกสิ่งอัน
ข้าไม่อยากรังแกเช่นแม่พ่อ    
ที่เจ้าขอข้าไม่อ่อนตามผ่อนผัน
แม้เจ้าขอสิ่งใดข้าให้ปัน      
ก็เป็นอันข้าทำซ้ำรังแก
เจ้าจะตกอวิจีไม่ดีดอก  
เจ้าจะออกปากพ้ออย่างพ่อแม่
ลูกเศรษฐีตกตะลึงทะลึ่งแล
โอ๊ย! ผมแย่ถูกล่อลงบ่อตม
เมื่อไม่ให้ใครจะว่าเจ้าข้าเอ๋ย
นี่กลับเย้ยยกคำทิ่มตำผม
จะไล่ไปก็ไม่ไล่ให้ระทม  
ว่าแล้วซมซานกลับด้วยคับใจ
หมอขยับจับบ่าช้าซีเจ้า
 คำที่เล่าบอกข้าน่าเลื่อมใส
พ่อแม่รักลูกผิดชนิดไร        
เขาก็ได้ทุกข์ถมจนล้มตาย
เวลานั้นตัวเจ้ายังเยาว์อยู่      
จึงไม่รู้ยั้งตนจนฉิบหาย
เดี๋ยวนี้เจ้ารู้สึกสำนึกกาย    
จงขวนขวายฝึกหัดดัดสันดาน
ข้าจักเป็นพ่อแม่ช่วยแก้ให้  
ต้องตามใจแต่ข้าจะว่าขาน
ถ้ายอมตามข้าว่าไม่ช้านาน  
จักไม่ต้องขอทานเขาต่อไป
ลงท้ายลูกเศรษฐียินดีรับ      
ไปอยู่กับซินแสแก้นิสัย
ไม่ว่ามีกิจการสถานใด        
 แกใช้ให้ทำสิ้นจนชินการ
แกปรานีจี้ไชด้วยใจรัก      
จนรู้จักค้าขายหลายสถาน
อยู่กับหมอต่อมาไม่ช้านาน    
 ก็พ้นการทุรพลเป็นคนแคลน
ชาวเราเอ๋ยพ่อแม่มุ่งแต่รัก  
 สู้ฟูมฟักในบุตรนั้นสุดแสน
แต่ความรักมักเดินจนเกินแกน
เลยเข้าแดนทุกข์ถมระทมกาย
ดังเศรษฐีรักบุตรสุดสวาท  
 บุตรอุบาทว์มิได้รักสมัครหมาย
เอาแต่ใจใฝ่ตามความสบาย    
 พ่อแม่ตายก็เพราะตรมระทมใจ
ยังมิหนำซ้ำว่าด่ากระดูก      
หาว่าถูกพ่อแม่รังแกได้
แต่ชาวเราเนาเขตประเทศไทย
คงจะไม่พบปะขอประกัน
เพราะพระราชบัญญัติอุบัติแล้ว
เหมือนดวงแก้วส่องสว่างทางสวรรค์
บังคับให้ศึกษาทั่วหน้ากัน  
 พระคุณธรรม์ข้อนี้ไม่มีเทียม
ที่สุดนี้ชาวเราน้อมเกล้าฯ นบ
พระจอมภพภูบดินทร์พระปิ่นเสียม
พระปลุกใจไทยทั่วตั้งตัวเตรียม
ทุกอย่างเยี่ยมยิ่งคุณวิบุลเอย

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

สุภาษิตสอนหญิง โดย สุนทรภู่


เนื้อหาของบทประพันธ์สุภาษิตสอนหญิงฉบับเต็มมีดังนี้
◊ ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร

ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน 
จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา

อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป 
ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา

ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา 
สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์

ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง 
ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม

ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม 
โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย

◊ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน 
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย

อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย 
จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคล

ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ 
บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล

สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล 
จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา

เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด 
ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า

แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา 
จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง

อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง 
ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง

ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง 
ให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี

◊ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน 
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี

จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ 
ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน

จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์ 
บำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขิน

เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญ 
คงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรง

ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด 
ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์

ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์ 
ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม

◊ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด 
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม

อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม 
เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที

อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม 
อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี

อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี 
เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ

ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ 
ผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือ

อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือ 
เขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร

อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต 
ระวังปิดปกป้องของสงวน

เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวน 
จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย

อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก 
จงรู้จักอาการประมาณหมาย

แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชาย 
อย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแล

อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง 
เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส

จริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช 
คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม

◊ อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก 
มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม

แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ 
อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี

ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก 
เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่

จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี 
เหมือนจามรีรู้จักรักษากาย

อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ 
พึงประเวศผุดพ้นชลสาย

หอมผกาเกสรขจรขจาย 
มิได้วายภุมรินถวิลปอง

ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส 
ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง

ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวทดลอง 
ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน

แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรัก 
ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น

อันความรักของชายนี้หลายชั้น 
เขาว่ารักรักนั้นประการใด

จงพินิจพิศดูให้รู้แน่ 
อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล

เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ 
มันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง

อันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด 
สารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่าง

แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง 
มาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัย

อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า 
จะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหน

เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล 
อย่าควรให้ตามคำเขารำพัน

ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร 
สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์

เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน 
คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง

อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ 
ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง

อย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง 
มันชักโยงอยากกินแต่สินบน

อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด 
ต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหน

จงฟังหูไว้หูกับผู้คน 
สืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป

◊ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก 
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงไหล

คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร 
แม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจน

มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย 
เหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผล

ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน 
แล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราว

ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้ 
ให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาว

ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาว 
แล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยา

เขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้ 
มีหาไม่เงินทองก็ต้องหา

ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา 
ค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลง

เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก 
แสนลำบากบอบนักอย่ามักหลง

บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง 
หน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไป

มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้า 
ก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่

ลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ 
อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรม

ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ 
คอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉม

ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม 
ต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัว

จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่ 
ต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัว

ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว 
จะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจ

จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง 
จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย

ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป 
ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง

แต่ใจคนมักรนไปหาผิด 
ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง

ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง 
สุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว

◊ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว 
จะดีชั่วก็ยังกำลังสาว

ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว 
จะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรอง

ถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ 
ถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมอง

คงมีผู้ชูช่วยประคับประคอง 
เปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามี

ถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว 
จะปัดแผ้วถางฟื้นไม่คืนที่

เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี 
ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงใน

จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมอง 
ถือทำนองแบบโบราณท่านขานไข

อย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ 
จงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์

แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง 
จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์

จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง 
อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล

อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า 
เขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวาน

จงระวังตั้งมั่นในสันดาน 
อย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชาย

เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ 
อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย

เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย 
ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน

ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ 
จะจองจำตีโบยออกโหยหน

ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน 
ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว

ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย 
กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว

แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว 
เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง

จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก 
เพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็ง

ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง 
ใจตัวเองพาหลงไปลงตม

ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง 
หมายจะกองทุนสินกินขนม

ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์ 
จึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจ

แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่า 
ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส

ถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล 
ก็มีใจสรรเสริญเจริญพร

◊ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้ 
อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอน

คิดถึงหน้าบิดาและมารดร 
อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี

เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น 
อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่

อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี 
เมื่อบุญมีคงจะมาอย่าปรารมภ์

อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้ 
อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสม

อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม 
จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน

ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอด 
อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผล

เขม้นขะมักรักงานการของตน 
อย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแช

เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน 
อย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋

อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล 
ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกัน

ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ 
จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น

เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน 
จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง

มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท 
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์

จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง 
อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน

ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ 
ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน

เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล 
จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ

ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ 
ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่

อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร 
หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง

ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์ 
กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง

จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง 
กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน

เทพไทในห้องสิบหกชั้น 
จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร

ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล 
ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี

◊ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต 
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศี

เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ใยดี 
ดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์

เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่ 
ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม

ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม 
ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา

คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์ 
คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา

ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา 
ทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอน

ถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า 
เทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์

ให้ยากยับอัปราอนาทร 
ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจ

แม้จะมีเงินทองของทั้งหลาย 
คงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัย

จะเกิดโจรราวีอัคคีภัย 
เพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณ

หญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก 
จะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุล

แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ 
เนรคุณมิได้คิดอนิจจัง

ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยง 
จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถัง

แม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง 
ดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม

◊ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว 
ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุม

ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม 
จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง

อย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษ 
ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง

ถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง 
จะไว้วางกริยาให้น่าดู

จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น 
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู

ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู 
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ

แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย 
อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย

จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร 
ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา

เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก 
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา

แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา 
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ

ถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยว 
อย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยาม

เมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตาม 
มันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็น

ถึงจะไปในพิภพให้จบทั่ว 
แต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็น

จงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น 
จึงจะเป็นคนดีมีปัญญา

เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง 
จงระวังในจิตขนิษฐา

อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌา 
แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน

เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น 
อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน

ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล 
นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง

แม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน 
อย่าหลับไหลลืมกายจนสายสาง

ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง 
ความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัว

ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า 
ไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัว

ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว 
แม้นจะหัวหัวร่อพอสบาย

เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์ 
อย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลา

อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย 
อย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริง

จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่ง 
อย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิง

ใช่บ้านนอกคอกนามาแต่เยิง 
ทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป

◊ เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง 
แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่

ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป 
อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปี

เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง 
แต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวี

ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี 
จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา

อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด 
ให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสา

เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา 
จะได้หาเลี้ยงกันจนวันตาย

รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา 
จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย

มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย 
ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง

การวิชาหาประดับสำหรับร่าง 
อย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉง

การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง 
อย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจ

คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวาย 
อย่าให้กายตกยากลำบากได้

พออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไร 
อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกิน

ค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน 
ค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญ

อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน 
ละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอาย

อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก 
ทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย

ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย 
อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ

เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง 
อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน

ของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน 
เหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไร

จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม 
อย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัย

อย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป 
ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร

◊ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว 
ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวน

สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวล 
เป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กล

พอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศี 
ให้เวียนหวีได้วันละพันหน

ตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล 
แต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลา

ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู 
ยังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหา

วันนี้มีละครใครที่ไหนมา 
แม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป

นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลง 
ดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหล

บ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป 
ช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอาย

บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้น 
เที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงาย

ห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย 
พวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริง

ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก 
ปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิง

ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิง 
จะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียว

ใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง 
ทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยว

ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว 
ประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตรา

พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก
เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา

เที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอา
นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน

ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น 
สู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสน

ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน 
ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย

หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว 
ให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหาย

ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย 
ไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บ

มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน 
จะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บ

แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ 
ขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือน

อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระ 
คิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อน

คบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน 
จะคบคนพลเรือนก็เต็มที

ครั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ 
ด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่

ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี
ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืน

แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า 
จนครั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืน

มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน 
ใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบ

หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก 
จำจะบวกบอกใส่เสียให้จบ

ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ 
หล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล

◊ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อ 
เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐาน

ไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดาน 
เห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามา

ล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง 
เที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนา

พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา 
เป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริง

ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น 
เป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิง

ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง 
เขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอย

ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่น 
เขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอย

ถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย 
ไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดี

อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์ 
เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี

เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี
มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว

ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์ 
ถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาว

อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว 
ไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชน

ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย 
เห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสน

ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน 
ลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดี

สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้ 
ว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรี

ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี 
แม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไป

ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า 
อย่าถือว่าตนงามตามวิสัย

ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร
เขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ

◊ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ 
แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน

ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์
แลละลานล้วนสุวรรณอันลออ

เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง 
เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ

แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ 
ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย

หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง 
ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย

แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย 
สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง

แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ 
ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง

ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง 
จนทองเหลืองไม่ละจะกละงาม

ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์
ทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสาม

ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม 
ไม่มีความอายจิตสักนิดเดียว

เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่ 
สมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียว

เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว 
ไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลง

เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่ 
จะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็ง

เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง
เขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ

◊ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง 
เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด

เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส 
ใครมาจดโผจับรับตะกาง

จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น 
เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง

ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง 
ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน

เพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย
ทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสัน

เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์ 
ยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจร

โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง 
จนลือดังข่าวก้องดังกลองโขน

เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน 
จนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชย

ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ
ต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉย

อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย 
ด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล

◊ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด
ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์

ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน 
เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การ

บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของ 
ให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสาน

ครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ 
บอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความ

ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น 
ชวนกันเดินหลีกออกนอกสนาม

ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม 
จนเลยลามลืมบ้านสถานตน

ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก 
เป็นโรครักเกิดมารศีรษะขน

ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน 
หมายประจญจะให้ดับที่อับอาย

รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด 
จะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหาย

เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย 
คงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตรา

ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ 
ก็อาดูรพูนเกิดสหัสสา

ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา 
เป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทา

ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข 
เอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขา

แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา 
พอปัดเป่าความอายให้หายแคลง

ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ 
มันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนง

ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลง 
มาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือ

ไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย 
เหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือ

ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ
นึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มี

เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก 
มันขายพักตร์สารพัดจะบัดสี

ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี 
แต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียง

เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง 
ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง

เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง 
เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย

ท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์ 
ไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสีย

เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย 
ย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนาง

ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า 
จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง

เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง 
จะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไป

เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม 
คนจึงลามเลยลวนมากวนได้

แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้ 
จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัว

อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด
จับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัว

จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว 
ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย

เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ
สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย

ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย 
ก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม

◊ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น 
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม

ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ 
จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง

ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ 
เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง

พลอยประจบหลบความไปตามเพลง
เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

ทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่ 
เขาจับได้ชายชู้ดูน่าขัน

ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ 
ต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวน

เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม 
ไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวล

เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล 
แลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป

ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น 
ก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัย

จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ 
จะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตน

ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว 
ข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์

เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน 
แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอาย

ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด 
จึงจำกัดศักดินาราคาขาย

ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชาย 
มันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืน

ก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว 
อยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่น

ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืน 
ต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอน

ที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก 
มีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอน

ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร 
ที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดี

ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด 
แต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสี

ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี 
ชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคน

เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย 
มันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝน

ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน 
ทำซุกซนจนได้ยากลำบากกาย

มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์ 
จะลงรักทองปิดไม่มิดหาย

อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย 
เปรียบเหมือนกายกามีราคีคาว

ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต 
คงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาว

ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว 
ไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารี

ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า 
ถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่

ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี 
ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร

แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขา 
เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข

จะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไป 
ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง

แม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธ 
เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง

ให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง 
อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย

◊ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ 
จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่

อันความดีมีอยู่ดูจำไว้ 
อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอม

จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ 
จงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอม

อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอม
มโนน้อมเสน่หาต่อสามี

อย่าคบชู้สู่สมนิยมหวัง 
ไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรี

เขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้ 
ถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรอ

ธุระอะไรจะให้มันเสียของ 
อันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอ

เพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอ
ควรบำเรอลูกผัวของตัวตน

จะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน
เพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผล

แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญ 
จะพาตนยากยับอัประมาณ

จงกันภัยในเล่ห์เสน่หา 
อย่าให้มาปนปะจงประหาร

เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ 
ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร

จงซื่อต่อภัสดาสวามี 
จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัย

อย่าให้มีราคินที่กินใจ 
อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดา

ถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้ 
ด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์

หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา 
ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน

◊ แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์

คำนับนอบสามีทุกวี่วัน 
อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอน

ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน 
จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน

ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน 
ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง

ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์ 
จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง

เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรง 
ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา

ประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ
อย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขา

นอนให้ดีมีสติสิริเรา 
อย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับ

จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา 
น้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพ

จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ 
จัดประดับเทียมทำให้น้ำนวล

ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้ 
ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน

อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน 
จงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการ

แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน 
แต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถาน

ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน 
ให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนา

จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้ 
เผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหา

อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนา 
จงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวัง

อยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว 
นางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลัง

อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง 
เขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี

◊ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า
เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรี

ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี 
หมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกิน

อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง 
ตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจสิน

ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน 
จึงจะภิญโญยศปรากฎไป

◊ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง
อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาสัย

เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ 
ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์

แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้ 
อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสม

เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม
แม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วาม

อันโมโหโทโสไม่อดได้ 
ความในใจก็จะดังออกกลางสนาม

ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ 
อย่าทำตามใจนักมักจะเคย

เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา 
หมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉย

แม้นผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย 
อย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจ

จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่น
เห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัย

ค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย
แม้นสิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำ

จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก 
อย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำ

ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ 
อย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือน

การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม 
ประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือน

อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน 
จะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง

◊ แม้นพิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา 
อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลัง

พึงข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง 
อุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงา

จึงจะว่านารีมีความคิด 
รู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลา

ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา 
หนึ่งผัวเขาเล่าก็เห็นว่าเป็นดี

การนินทาด่าผัวนั้นชั่วถ่อย 
เป็นคนน้อยปัญญาเสียราศี

ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี 
ชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไป

บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า 
ถึงตีด่าก็นิ่งไม่ติงไหว

ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป 
ก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบ

ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น 
ดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบ

ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ 
ก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง

◊ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ 
หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็ง

สำรากก้องร้องแทรกแหกกระแซง
ตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัว

ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด 
ให้สามีอัปยศลงหดหัว

ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว 
มัดมือผัวผูกแขนแค่นเฆี่ยนตี

ทรมานภัสดาน่าสังเวช 
ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี

ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี 
ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู

ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า 
นิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสู

ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู 
มิได้สู้รบรับสัประยุทธ์

ช่างกระไรใจคอมันอดได้ 
ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษ

จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด 
น้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้น

เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบ
คงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขัน

จะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน 
ร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน

◊ สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้ 
ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรร

ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน 
คนทุกวันอย่างนี้มีอาเกียรณ์

จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด 
ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียน

อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร 
ตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราว

พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ 
เป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาว

เป็นตำหรับแบบฉบับไปยืดยาว 
ในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความ

ข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ 
จงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยาม

เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความ
ประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดี

อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ 
จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี

ไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี 
กันบัดสีคำค่อนคนนินทา

ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง 
หอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศา

เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา 
ในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย
.......
บทประพันธ์คำกลอนเรื่องสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่นั้น ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องของความงดงามของภาษาที่ใช้ สัมผัสนอกสัมผัสในที่เป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนความทันสมัยของความหมาย ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย…

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

โปรแกรมคำนวณการตัดผ้าเย็บจีวร(หน่วย ซ.ม.)

คำนวณขนาดผ้าตัดเย็บจีวรพระภิกษุ


ใส่ข้อมูล
จำนวนขันธ์ของจีวร ขันธ์ ความยาวของศอก ซ.ม.(ศอกผู้ใช้จีวร)
ต้องการตัดเป็น ต้องการเผื่อผ้า กว้าง 1ศอก/สูง 1 คืบ
กดคำนวณ


จีวรที่เหมาะแก่ผู้ห่มควรมีขนาด
กว้าง :  ซ.ม.
ยาว/สูง :  ซ.ม.
(ใช้เป็นค่าตัดอนุวาต)
<<~~~~~~>>
ขันธ์หลักกว้าง(รวมกุสิ) :  ซ.ม.
ขันธ์หลักยาว(รวมอัฑฒกุสิ) :  ซ.ม.
จำนวน 1 ชิ้น
<<~~~~~~>>
ขันธ์รองกว้าง(รวมกุสิ) :  ซ.ม.
ขันธ์รองยาว(รวมอัฑฒกุสิ) :  ซ.ม.
จำนวน ชิ้น
<<~~~~~~>>
ขันธ์ริมกว้าง(รวมอนุวาต) :  ซ.ม.
ขันธ์ริมยาว(รวมอัฑฒกุสิ) :  ซ.ม.
จำนวน 2 ชิ้น
<<=======>>
กุสิ และ อัฑฒกุสิ กว้าง 6 ซ.ม.
อนุวาต กว้าง 15 ซ.ม.
คำนวณตามหน่วยเป็นนิ้ว(ฟุต)
** ข้อควรพิจารณา โปรแกรมนี้ใช้เป็นแนวทางช่วยการตัดสินใจเพียงเท่านั้น อาจจะสามารถเผื่อระยะได้ตามความเหมาะสม



กรอบสี่เหลี่ยมโดยรอบเรียก อนุวาต โดยมาตรฐานนิยมใช้ กว้าง ๑๕ ซม. ที่เห็นเป็นเส้นคู่คั่นตามแนวตั้ง ของแต่ละขัณฑ์ เรียก กุสิ (หรือกุสิยาว)  และที่เป็นเส้นคู่ คั่นขวาง ขนานกับด้านยาวของจีวร ทั้งข้างบน ข้างล่างสลับกัน  เรียก อัฑฒกุสิ  (หรือกุสิขวาง)  ทั้งกุสิ และอัฑฒกุสิ ขนาดมาตรฐานนิยมใช้ กว้าง ๖ ซม.
ดูอ้างอิงที่
 :::::::::